PEACE TV LIVE

วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

Devas Party สัมภาษณ์นายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 22 09 2012




 



ลูกคือสุขสุดใจของนายกฯปู วันนี้'อดทน'เพื่อชาติ


เปิดหัวใจ "นายกฯยิ่งลักษณ์"ผ่านมา 1 ปี ไม่มีคำว่าเสียใจที่ลงสนามการเมือง ยึดคำเดียว "อดทน" เพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้า ส่วนชีวิตครอบครัว สุขสุดใจ อยู่ที่ลูก

วันนี้ (22 ก.ย.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับ "คำ ผกา" ผู้ ดำเนินรายการดีว่าส์คาเฟ่ ในโอกาสพิเศษ ในรายการดีว่าส์ปาร์ตี้ โดย "คำ ผกา" ย้ำคอนเซ็ปต์ในการเข้าสัมภาษณ์ว่า เป็นในลักษณะที่มนุษย์พึงคุยกับมนุษย์ อาจจะมีบทบาทไม่เหมือนกับการไปสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรี อยากให้เป็นเหมือนคนบ้านเดียวกันมากกว่า โดยช่วงแรกของการสัมภาษณ์เป็นการใช้ภาษาเหนือ หรือ "อู้ กำเมือง"ต่อกัน

โดย นายกฯยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ตื่นเต้นและดีใจ เพราะทำงานมา 1 ปี ก็ยังไม่มีโอกาสได้สัมภาษณ์รายการโทรทัศน์ในลักษณะวาไรตี้แบบนี้ ทั้งนี้ ในส่วนงานที่ทำนั้น นายกฯ บอก(ภาษาคำเมือง)ว่า "ถ้าเป็นเรื่อง ที่เหนื่อย (อิ๊ด) ก็จะเป็นเรื่องน้ำ เพราะเริ่มทำงานก็เจอเรื่องน้ำท่วม วันนี้ครบปี ก็ต้องมาพูดถึงเรื่องน้ำท่วมอีก บางพื้นที่กลับแล้ง ก็อยากให้มาดูแลบ้าง"

ส่วนการทำงานตั้งแต่ทำเรื่องน้ำ ทำให้รู้จักงาน รู้จักคนทุกกระทรวง จึงทำให้งานไปได้ และที่สำคัญได้ความรักของคนไทย มาร่วมช่วยกัน ซึ่งทำให้เราผ่านพ้นไปได้ และหวังว่าปีนี้ ก็จะผ่านไปได้ด้วยดีเช่นกัน

นอกจากนี้ นายกฯ ยังให้สัมภาษณ์ เรื่องการถูกโจมตีทางการเมืองว่า เมื่อตัดสินใจเข้ามาแล้ว และตั้งใจที่จะเข้ามารับใช้ประชาชน จึงต้องท่องอยู่คำเดียวคือ อดทน บางครั้งก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ก็ไม่รู้จะเรียกร้องอะไร พอเจอแบบนี้ก็ต้องบอกตัวเองว่า ต้องรักษาสุขภาพจิตใจ สร้างภูมิคุ้มกันของตัวเอง ถ้าท้อถอยอ่อนแอ สิ่งที่ประชาชนที่ฝากความหวังไว้ หากท้อภารกิจของประเทศก็จะไม่เดิน และ ก็ต้องให้กำลังใจกับตัวเอง และก็มามองสิ่งที่ทำงาน และอยากให้มองที่การทำงานด้วย และวันนี้ดีใจที่ได้มีโอกาสทำงานให้ประเทศ ส่วนตัวคาดคิดเอาไว้แล้วว่า เมื่อเข้าสู่การเมืองต้องเจออะไรอีกมาก แต่ก็ไม่รู้จะมารูปแบบไหน และเชื่อว่าเวลาจะเป็นตัวพิสูจน์การทำงาน

"อย่างหนึ่งที่ต้องบอกถึงการตัดสินใจมาลงสมัครรับเลือกตั้ง คือ ไม่เสียใจเลย มีความรู้สึกดีใจที่ได้ทำงานให้กับประเทศที่เรารัก และวันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนใจ ส่วนอุปสรรคต่างๆก็เป็นเรื่องที่ต้องอดทน ส่วนสิ่งต่างๆที่เข้ามา ก็คาดคิดอยู่แล้วว่าคงต้องเจอหลายๆรูปแบบ แต่ก็คิดว่าเราเองก็ต้องอดทน แต่ว่าสิ่งที่จะเข้ามาจะมารูปแบบไหน ก็ไม่มีใครรู้ ก็อย่างที่เห็นว่าเราเองก็พิสูจน์อย่างเดียว และเชื่อว่าสังคมไทยเปิดกว้างและจะให้โอกาสดิฉันค่ะ" นายกฯ กล่าว

ส่วนประเด็นชีวิตครอบครัวของนายกฯยิ่งลักษณนั้น นายกฯ เผยว่า "สำหรับชีวิตครอบครัวที่เปลี่ยนไป ก็ตรงที่มีเวลาที่น้อยลงไป ก็ต้องหาเวลาบริหารจัดการที่บ้าน เพราะลูกก็ยังเล็ก ก็ยังต้องการการดูแล เพราะว่าวัยนี้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่กำลังจะโตมาเป็นวัยรุ่น ก็ต้องการเวลาที่พ่อแม่ให้ความใกล้ชิด ก็เลยพยายามชดเชยเวลาที่เหลืออยู่ให้กับลูก เช่น ถ้าไม่มีภารกิจไปไหน ก็จะกลับบ้านให้เวลากับลูก มากกว่าที่จะไปใช้เวลาส่วนตัว แล้วก็ตื่นเช้าเพื่อที่จะเจอลูก"

สำหรับช่วงเวลาแห่งความสุขในรอบสัปดาห์หลังการทำงาน นายกฯ บอกว่า ก็จะเป็นช่วงวันอาทิตย์ หรือวันเสาร์เย็นที่ได้มีเวลาอยู่กับลูก ก็จะถามเขาว่าเขาอยากทำอะไร บางครั้งก็ซื้อภาพยนตร์มาดูกับลูก ขณะที่ช่วงเวลากับสามีนั้น โดยปกติถึงวันนี้ก็จะเป็นเวลาที่ไปเป็นครอบครัวมากกว่า จะไปกันสองต่อสองคงไม่มีแล้ว

ขณะที่เรื่องของการแต่งกาย และการดูแลเสื้อผ้า หน้า ผม นายกฯ บอกว่า ความสุขของคน ต้องเริ่มจากจิตใจข้างใน ส่วนงานหนักมาตลอดใน 1 ปีถามว่าจะทำอย่างไร อย่างแรกเราก็ต้องหาความสุขให้กับตัวเรา ให้สุขจากข้างใน และการดูแลสุขภาพตัวเอง และการแต่งตัวก็ไม่ได้มีทีมงานอะไรเป็นพิเศษ ก็ดูเองบ้าง อะไรบ้าง ตามความเหมาะสมตามกาลเทศะและก็อาศัยติดตามเทรนด์แฟชั่นจากนิตยสาร หรือฝากคนซื้อบ้าง ซื้อจากอินเทอร์เน็ตบ้าง

สำหรับคำนิยามของผู้หญิงแถวหน้า นายกฯ ให้คำนิยามว่า "ผู้หญิงแถว หน้า จะต้องเป็นผู้หญิงแถวหน้าด้วยการได้รับการยอมรับ จะถือว่าเป็นสิ่งที่เดินได้อย่างสง่าผ่าเผย และอยากให้ผู้หญิงงามทั้งร่างกายและจิตใจ และมีน้ำใจที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย ที่เราต้องช่วยกันสื่อให้ต่างประเทศได้ซึมซับสิ่งนี้"  

ชำแหละ งบประมาณ 77 ล้านบาท ของ คอป.

อั๊ยยะ !!! การ์ด พมธ.-น้องรักสุริยะใส ส่อ เป๋าตุง รายงาน คอป. ระบุชัด 2 ปี อนุกรรมการฯ ถลุง เบี้ยประชุม 1.5 ล้าน


Posted by bigeditor on 22 Sep 2012 / 0 Comment



สุดท้าย “คอป.” ก็ยอมเปิดปาก “สารภาพ” ว่า หมกเม็ด “น้องรักสุริยะใส” และ “หัวหน้าการ์ดเวทีพันธมิตรฯ” เอาไว้ใน “คณะอนุกรรมการฯ ของ คอป.”  ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา
โดยเริ่มจาก “คณิต ณ นคร” ประธาน คอป. ที่ออกมา “ยอมรับ” แต่ก็โยนให้ “ประธานคณะอนุกรรมการฯ” ที่จะเป็นผู้ “ผลักดัน” คนเข้ามาทำงาน
คนต่อมา “สมชาย หอมลออ” กรรมการ คอป.คนสำคัญ ก็ไม่ปฏิเสธว่า ซุก “พันธมิตรฯ”  เอาไว้ แต่พยายามเบี่ยงเบนว่า “คอป.” เปิดโอกาสทุกฝ่าย ทั้ง  “พันธมิตรฯ” และ “นปช.” (แต่ก็ไม่มีการ์ด นปช. อย่าง อารีย์ ไกรนรา ได้รับเชิญไปเป็น อนุฯ คอป.เลย)อีก คนก็ “ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ” สุริยะใส กตะศิลา” ยอมรับว่า รู้จักเป็นอย่างดีกับทั้ง “เมธา มาสขาว” และ “ชัยวัฒน์ ตรีวิทยา” แต่ไม่รู้เรื่องที่ไปเป็น “อนุ คอป.” (เข้าทำนอง ชิ่งหนีซะงั้น !)
และสุดท้าย ที่เป็น “กุญแจสำคัญ” ก็คือ “เมธา มาสขาว” ที่ออกมายอมรับเองว่า เป็นผู้ชักชวน “ชัยวัฒน์ ตรีวิทยา” การ์ดพันธมิตรฯ เข้ามาเป็น “อนุฯ คอป.”
แต่ก็สมกับที่เป็น “น้องรักของพี่ใส” เพราะ “เมธา” ยังพยายามใช้ “สีข้าง” เบียดกระแทก แหวกหลักฐาน เบี่ยงกระแส ไปว่า สนิทสนมกับทั้ง “พี่ใส” และ “พี่ตู่”  จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำเสื้อแดง
แบบที่ไม่ได้ถาม “พี่ตู่” ก่อนเลยว่า อยากสนิทสนมกับ “น้องเมธา” หรือไม่ !!!
ย้อนกลับไปดูคำสั่ง  คอป.ที่ 7/2553 เรื่องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินการตรวจสอบและค้นหาความจริงเฉพาะ กรณี จะพบว่า คำสั่งระบุว่า “เพื่อให้การตรวจสอบและค้นหาความจริงในเหตุการณ์เกิดขึ้น ซึ่งมีความสลับซับซ้อนและมายละเอียดจำนวนมาก ทั้งในส่วนของข้อมูล ข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน รวมทั้งสถานที่เกิดเหตุการณ์ที่มีทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น” จึงอาศัยอำนาจ คอป.แต่งตั้ง “อนุฯ ย่อย” ทั่ง 5 คณะขึ้นมา
ซึ่งถือว่ามีความสำคัญต่อการ “ชง” ข้อมูล ผลสรุปแต่ละเหตุการณ์ ค่อนข้างจะชัดเจน
อันที่จริงเมื่อเรา “อ่านคำสั่ง” ก็พอจะใช้ “สามัญสำนึก” ในการทำความเข้าใจได้ว่า ผู้ที่จะเข้ามานั่งเป็น “กรรมการ” ใน “อนุฯ ย่อย” ควรจะมีผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประวัติการทำงานที่ค่อนข้างจะเป็น “มืออาชีพ”
ที่สำคัญคือ ควรที่จะมีความ “เป็นกลาง” อย่างยิ่ง ในสถานการณ์ที่ “ผลการสอบสวน” ค่อนข้างจะอ่อนไหว ต่อ “คู่ขัดแย้ง”
ซึ่งไม่ควรอย่างยิ่ง ที่จะ (แอบ) แต่งตั่ง “หัวหน้าการ์ดพันธมิตรฯ” ซึ่งถือเป็น “คู่ขัดแย้ง” เข้ามาทำงานร่วมใน “คณะกรรมการฯ”
แล้วยิ่งเมื่อไปพิจารณา โครงสร้าง “อนุฯ ย่อย” แต่ละชุด จะเห็นได้ทันทีว่าประกอบไปด้วย  1.ประธานอนุฯ ย่อย ซึ่งจะเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น “อนุกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริง” ตามคำสั่ง คอป.ที่ 3/2553
2.กรรมการ ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานต่างๆ  อาทิ นักวิชาการด้านกฎหมาย ผู้แทนจากกระทรวงยุติธรรม สภาทนายความ หรือผู้ชำนาญการจากองค์กรสื่อสารมวลชน
และ 3.ผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ  ซึ่ง “คณิต ณ นคร” ที่เพิ่งออกมายอมรับข้อนี้ ก็ระบุเองว่า “เป็นเรื่องของประธานอนุฯ แต่ละชุด ที่เห็นว่าใคร “เหมาะสม” ที่จะเข้ามาทำอะไรตรงไหน”
ซึ่งทำให้ “ข้อสงสัย” ตรงนี้ค่อนข้างจะชัดเจนมากขึ้น  เพราะใน “คำสั่ง คอป.ที่ 7/2553” แต่งตั้ง “5 อนุฯย่อย” นั้นปรากฏชื่อ  “สมชาย หอมลออ” นั่งเป็น “ประธานอนุกรรมการฯ ย่อย” ควบถึง “2 คณะ” คือ “คณะที่ 1” ที่รับผิดชอบเหตุการณ์ภาพรวมของความขัดแย้ง และ “คณะที่ 2” ที่รับผิดชอบกรณีเสียชีวิต 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม การปะทะ 10 เมษายน บริเวณสี่แยกคอกวัว  เหตุการณ์ปะทะบริเวณอนุสรณ์สถานและดาวเทียมไทยคม
โดยที่ “คณะที่ 1” และ “คณะที่ 2” นับว่าเป็น คณะที่มีอิทธิพลสูงสุดต่อผลการสอบสวนใน “ภาพรวม” ของเหตุการณ์ทั้งหมด
แล้วก็เป็น “2 คณะ” ที่มีชื่อ “น้องรักพี่ใส” และ “หัวหน้าการ์ดพันธมิตรฯ” มานั่งเป็น “อนุกรรมการฯ” พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งหมด
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลใด แต่สอดรับกับเสียงอื้ออึง ของ “คนวงใน คอป.” ที่มีออกมาเป็นระยะๆ ว่า “สมชาย หอมลออ” คือผู้ที่ทรงบทบาท ที่สุดใน “คอป.” และเป็นไปได้ว่าจะมีบทบาทมากกว่า “คณิต ณ นคร” ประธาน คอป.ด้วยซ้ำไป
ยิ่งเมื่อไปไล่ดูความสัมพันธ์ ระหว่าง “สมชาย หอมลออ” กรรมการ คอป. กับ “เมธา มาสขาว” และ “ชัยวัฒน์ ตรีวิทยา”
ก็จะเห็นว่า “น้องเมธา” ของ “พี่สมชาย” นั้นเคลื่อนไหวมาคู่กับ “พี่สมชาย”  พอๆ กับที่ “น้องเมธา” รักใคร่อยู่กับ “พี่ใส”
เมื่อไล่ลึกลงไปในความสัมพันธ์ระหว่าง “น้องเมธา” กับ “ชัยวัฒน์ ตรีวิทยา” หรือ “ต่อ ครป.” หัวหน้าการ์ดพันธมิตรฯ “เมธา” ก็เพิ่งออกมายอมรับเองว่า เป็นผู้ชักชวน “ชัยวัฒน์” มานั่งทำงานเป็น “อนุฯ ย่อย คอป.”
อั๊ยยะ !!! ตรงนี้ก็ไปสอดรับกับ ที่ คนใน “อนุฯ ย่อย คอป.” หลายคณะ ปรับทุกข์กึ่งบ่น มาระยะใหญ่ว่า “เมธา” คือ บุคคลที่มีบทบาทอย่างมากในการผลักดัน “บุคคล” ที่ไม่ใช่ “ผู้เชี่ยวชาญ” และ “ผู้แทนหน่วยงาน” ใด ให้เข้ามานั่งเป็น “อนุฯ ย่อย คอป.” ผ่าน “สมชาย หอมลออ”
ซึ่งก็ไม่เพียงแค่ “ชัยวัฒน์ ตรีวิทยา” เท่านั้น ที่ “เมธา มาสขาว” ผลักดันให้พรรคพวกของตัวเองเข้ามานั่งใน “อนุฯย่อย คอป.”
เพราะยังมี “อนุย่อยฯ คอป.” อีกหลายชื่อ  ที่มีชื่อ “โผล่” เข้ามาแบบน่ากังขา ทั้งๆที่ไม่เคยมีโปร์ไฟล์ว่าเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” หรือ “ตัวแทนหน่วยงาน” ใด !
จนถึงขั้นที่ “อนุฯ  คอป.” บางคน อดรนทนไม่ไหว ออกปากออกว่า “กระทั่ง “เพื่อนซี้”  ใน “วงเหล้า” แถวถนนข้าวสาร ของ “เมธา” ก็ยังได้มานั่งเป็น “อนุฯ ย่อย คอป.” !!!
ซึ่งเรื่องนี้ “สมชาย หอมลออ” ที่ออกมาบอกว่า การที่คนพวกนี้เคยร่วมงานกับ “พันธมิตรฯ” นั้นไม่ใช่สาระสำคัญ
ก็ควรออกมาชี้แจงให้ชัดเจนว่า แต่ละคนที่มานั่งเป็น “อนุฯ ย่อย คอป.” ทั้ง 5 คณะนั้น แต่ละคนเชี่ยวชาญอะไรอย่างไร
โดยเฉพาะ “อนุฯ ย่อย” ที่เป็นกลุ่ม “เพื่อนซี้เมธาและการ์ดพันธมิตรฯ” ที่มีใน “อนุฯ ย่อย คอป.” จำนวนหนึ่ง
เพราะเรื่องแบบนี้ “ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวมาปิด” คงไม่ไหว
เพียงแค่ไล่ชื่อ “อนุฯ ย่อย คอป.”  แล้ว คลิกดูในโลกออนไลน์  “หลักฐาน” ก็โชว์หรา…. ว่าใครเป็นใคร
ไม่เช่นนั้น “คอป.”  และ “กรรมการ” ไปจนถึง “อนุกรรมการฯ” คนอื่นๆ ที่เป็น “ผู้ทรงคุณวุฒิ” จะพลอยเสียหายไปด้วยง่ายๆ !!!
โดยเฉพาะเมื่อใน “รายงานฉบับ (ป้ายสี) สมบูรณ์” ของ “คอป.” ชี้แจงเอาไว้ในหน้า 16 อย่างชัดเจน ในเรื่องค่าใช้จ่ายตามงบประมาณ 65 ล้านบาท ที่ “คอป.” มีอำนาจใช้จ่ายมาตลอด 2 ปีนั้น ระบุว่า
2. ค่าเบี้ยประชุมคณะอนุกรรมการต่างๆ รวมทั้งสิ้น 1,533,800 บาท
โดย ในรายงานระบุเอาไว้ด้านล่างว่า  คณะอนุกรรมการ ที่  คอป.แต่งตั้งประชุมรวมทั้งหมด 107 ครั้ง โดยแต่ละครั้งได้รับเบี้ยประชุมตามระเบียบของทางราชการ กล่าวคือประธานอนุกรรมการได้รับเบี้ยประชุมครั้งละ 1,000 บาท รองประธานได้รับเบี้ยประชุมครั้งละ 900 บาท อนุกรรมการ เลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการได้รับเบี้ยประชุมครั้งละ 800 บาท
แม้ตรงนี้ดูเผินๆ จะเป็นตัวเงินไม่มากนัก แต่ก็ “ภาษีประชาชน” ที่ “บรรดาพรรคพวกของท่าน (พันธมิตรฯ)”ชอบ กล่าวหาว่าผู้อื่น “โกง-กิน”
ซึ่งจนถึงวันนี้ “คอป.” ยังไม่ได้ชี้แจงว่า การปล่อยให้ “การ์ดพันธมิตรฯ-คนใกล้ชิดแกนนำเสื้อเหลือง” เข้ามาร่วม “อนุฯ ย่อย คอป.” แล้วหยิบจับเอา “ภาษีประชาชน” ตรงนี้ไปใช้ประโยชน์ ตาม “รายงานฉบับ (ป้ายสี) สมบูรณ์” ระบุเอาไว้ หรือไม่ ?
เพราะขณะนี้สิ่งที่ออกมาจากปาก “ประธาน คอป.” ก็คือ “ คอป. ไม่มีกฎเกณฑ์” เรื่อง “บุคลากร” ที่จะเข้ามาร่วมงาน
ถ้ายืมคำ “ท่านสมัคร สุนทรเวช”  มาใช้ ก็คงต้องบอกว่า “มันประหลาด” !!!   http://www.siamleaks.com/top-news/2012/516.html

ผู้มีสิทธิ์ครองราชย์ต่อจาก ร.7 โดย อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล


คุณ Soraphong Ladsuan ถามเรื่องผู้มีสิทธิ์ครองราชย์ต่อจาก ร.7 ผมเลยโพสต์แผนผังประกอบรูปที่ผมทำไว้ให้ดู ใครทีอ่านงานของผมมานาน คงเคยเห็นแล้ว เพราะได้โพสต์ที่ ฟ้าเดียวกัน-คนเหมือนกัน หลายครั้ง

ขออธิบายสั้นๆ ดังนี้

1. เจ้านายทีมีเครื่องหมาย * (ดอกจันทร์) กำกับ 10 คนในแผนผังนี้ คือ 10 คนแรก ที่มีสิทธิ์ครองราชย์ต่อจาก ร.7 ตามที่กระทรวงวัง จัดทำขึ้น เมื่อ ร.7 สละราชย์ โดยมี กรมพระนริศ ผู้สำเร็จราชการตรวจให้ความเห็น ชอบแล้ว โดยเรียงตามลำดับ จากซ้าย มา ขวา และจากบน มา ล่าง (เช่น อันดับที่ 1 พระองค์เจ้าอานันท์, อันดับที่ 2 พระองค์เจ้าภูมิพล, อันดับที่ 3 กรมพระนครสวรรค์, อันดับที่ 4 พระองค์เจ้าจุมพฏ ..... ไปจนถึง อันดับที่ 10 พระองค์ขจรจบ)

2. ปี พ.ศ. ใต้พระนามคือปีเกิดและปีสิ้นพระชนม์ของแต่ละองค์ ส่วนเจ้านายที่ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ จะมี "ร." ตามด้วย พ.ศ. ด้วย หมายถึงขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ในปี พ.ศ.นั้น และแน่นอนสิ้นสุดเป็นกษัตริย์เมื่อสวรรคต (ปีสิ้นพระชนม์) ยกเว้น ร.7 ที่สละราชย์ในปี 2477 แต่สิ้นพระชนม์ปี 2484

3. จะเห็นว่าในแผนผังนี้ ไม่มี * กำกับที่พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ความจริง เมื่อ ร.7 สละราชย์ นั้น ตามที่ปรีดีเล่า มีคนยกประเด็นพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ขึ้นมาเหมือนกันว่า น่าจะเป็น candidate กษัตริย์องค์ใหม่ด้วยพระองค์หนึง แต่ในที่สุด คณะราษฎร ได้เลือก พระองค์เจ้าอานันท์ เหตุผลทางการที่ปรีดียกมาคือ นัยยะของกฎมณเฑียรบาลเรื่องที่แม่เป็นต่างชาติ

แต่เรื่องนี้ ทางผู้สนับสนุน ปรีดี (โดยเฉพาะคุณสุพจน์ ด่านตระกูล) มักยืนยันว่า จริงๆแล้ว พระองค์เจ้าจุลฯ ยังมีสิทธิ์อยู่ เพราะกฎมณเฑียรบาล ถูกออกมาหลังพระองค์เจ้าจุลฯ ประสูติ มิหนำซ้ำ หม่อมแคทเธอรีน ยังได้รับการรับรองเป็นสะใภ้หลวง ยิ่งกว่านั้น ในทางกลับกัน "สาย" ของพระนางเจ้่าสว่างวัฒนะ และลูกชายคือกรมหลวงสงขลา (พระราชบิดาในหลวงปัจจุบัน) เหมือนกับได้ "ถูกข้าม" มาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อ ร.5 แทนที่จะตั้ง กรมหลวงสงขลา เป็นมงกุฏราชกุมาร หลังจากพี่ชาย (เจ้าฟ้าวชิรุณหิศ) สิ้นพระชนม์ กลับหันมาตั้ง "สาย" พระนางเจ้าเสาวภา แทน (คือ ร.6 และต่อมาก็ ร.7) ดังนั้น การที่ พระองค์เจ้าอานันท์ได้รับเลือกเป็น ร.8 แทนที่จะเป็นพระองค์เจ้าจุลฯ ต้องถือว่าเป็นเพราะการสนับสนุนของปรีดี

ผมไม่เห็นด้วยกับการอธิบายของผู้สนับสนุนปรีดีเช่นนี้ และได้อธิบายโต้แย้งโดยละเอียดในบทความหนึ่งทีตีพิมพ์ใน ฟ้าเดียวกัน ไม่กี่ปีที่ผ่านมา สรุปสั้นๆคือ จริงๆแล้ว พระองค์เจ้าจุลฯ หมดสิทธิ์เป็นกษัตริย์แล้ว ด้วยเหตุผล 3 ข้อ คือ (1) พระบิดาของพระองค์เจ้าจุลฯ คือ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ ได้ทำความตกลงกับ ร.6 พี่ชายไว้ตั้งแต่แรกว่าจะไม่ตั้งลูกชายเป็นมกุฏราชกุมาร ถ้าตัวเองขึ้นครองราชย์ (แลกกับการที่ ร.6 ยอมตั้ง เจ้าฟ้าจักรพงษ์ เป็นรัชทายาทของ ร.6); (2) หลังเจ้าฟ้าจักรพงษ์ สิ้นพระชนม์กระทันหัน (ที่สิงคโปร์) ร.6 ได้ตั้ง อัษฏางค์ เป็นรัชทายาทต่อ "ข้าม" พระองค์เจ้าจุลฯ ไปแล้ว มิหน่ำซ้ำ คือ (3) เมื่อ ร.6 ใกล้ตาย ได้เขียนพินัยกรรมไว้ชัดเจนว่า ให้ ประชาธิปก เป็นกษัตริย์ ซึงเป็นการ "ข้าม" พระองค์เจ้าจุลฯ อีกครั้ง และครั้งนี้ กฎมณเฑ๊ยรบาล ก็ออกมาแล้ว

สรุปคือ พระองค์เจ้าจุลฯ ในทางระเบียบกฎมณเฑียรบาล ที่ถือเจตนารมณ์ของกษัตริย์ เป็นตัวชี้ขาด (ร. 6 ไม่ต้องการให้ พระองค์เจ้าจุลฯ เป็นกษัตริย์ และยังระบุตั้งให้คนอื่นเป็นรัชทายาท แล้ว คือ อัษฎางค์ และ ประชาธิปก แล้ว) หรือแม้แต่ในแง่การ "ข้าม" ตามกฎมณเฑียรบาล ก็ถูกข้ามมาแล้วจริงๆ (ในขณะที่ การ "ข้าม" สมัยวชิรุณหิศ-สงขลา นั้น ไม่มีกฎมณเฑียรบาล)

แต่ที่พูดเช่นนี้ ไม่ได้แปลว่า คณะราษฎร จะเลือกพระองค์เจ้าจุลฯเป็นกษัตริย์ รัชกาลที่ 8 ไม่ได้ รัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม 2475 แม้จะบอกว่าให้เป็นไปตาม "นัย" ของ กฎมณเฑียรบาล แต่ก็ไม่ได้บังคับว่าต้องทำตามกฎมณเฑียรบาลโดยเด็ดขาด และอำนาจตัดสินใจสุดท้าย ยังอยู่ที่สภาผู้แทนราษฎร โดยการเสนอของรัฐบาล เพราะไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชแล้ว ดังนั้น ถ้า คณะราษฎร จะเลือกพระองค์เจ้าจุลฯ หรือเจ้านายอืน "ข้าม" พระองค์เจ้าอานันท์ ก็ย่อมทำได้ และในแง่นี้ ผู้สนับสนุนปรีดีอย่างคุณสุพจน์ ก็มีส่วนถูกในแง่ที่วา พระองค์เจ้าอานันท์ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ด้วยการสนับสนุนของคณะราษฎร(และปรีดี)

เท่าที่ผมเข้าใจจากหลักฐานแวดล้อม สมัยที่ ร.7 ลาออก มีการพิจารณา พระองค์เจ้าจุลฯ จริงๆ (และพระองค์เจ้าจุลฯเอง แม้ว่า ในทางการจะปฏิเสธเสียงแข็งว่า ไม่เคยคิดจะเป็นกษัตริย์ แต่ด้วยความที่ผมมองว่าพระองค์ "ปฏิเสธมากไป" จนทำให้น่าคิดว่า จริงๆ อาจจะสนใจในตำแหน่งก็ได้) แต่ในที่สุด คณะราษฎร ก็เลือกพระองค์เจ้าอานันท์ฯ

ผมมองว่า ต้องถือว่า "คณะราษฎร" lucky (โชคดี) มากๆในทางการเมือง เพราะ (ก) พระองค์เจ้าอานันท์ มีความชอบธรรมถูกต้อง เป็น "อันดับที่ 1" ตามกฎมณเฑียรบาลจริงๆ และ (ข) พระองค์เจ้าอานันท์ ยังเด็กมาก โอกาสที่จะเข้าแทรกแซงการเมือง ในระบอบใหม เรียกว่าไม่มีเลย คือ ทั้งชอบธรรมทางกฎหมาย และ "สะดวก" ในทางการเมือง ด้วย (และอาจจะมีปัจจัยที่ คณะราษฎร พิจารณาอีกด้วย คือ การที่ พระบิดา คือกรมหลวงสงขลา นั้น เคยรู้จักกับคณะราษฎร สมัยที่ทรงเสด็จผ่านยุโรป และสร้างความประทับใจซึ่งกันและกันพอสมควร และการที่ มารดา คือ "สมเด็จย่า" ก็เป็นสามัญชน พระองค์เจ้าอานันท์เอง ก็โตขึ้นในยุโรป และห่างไกลจากแวดวงเจ้าในเมืองสยามพอสมควร)

ในแง่นี้ ถ้าจะพูดว่า มีการรื้อฟื้นอำนาจสถาบันกษัตริย์ขึ้นใหม่ตั้งแต่ช่วงประมาณ 2490 เป็นต้นมา ก็ต้องบอกว่า ส่วนหนึง จะต้องมาจากความผิดพลาดหรือล้มเหลวบางอย่างของคณะราษฎรเองด้วย คือ จากปี 2477 อำนาจของสถาบันกษัตริย์ และองค์พระมหากษัตริย์อ่อนแอมากๆ แทบจะไม่มีอยู่ ในทางการเมือง (ในทางอุดมการณ์อาจจะเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาต่างหาก) การฟื้นอำนาจของสถาบันกษัตริย์ได้ในภายหลัง แสดงว่า จะต้องมีความล้มเหลวบางอย่างในช่วงระหว่าง 2477 ถึง 2490 ที่เป็นปัจจัยให้การฟื้นอำนาจนั้น ทำได้ เช่น ความล้มเหลวของการ "สร้างชาติ" คือนโยบายแบบ "ชาตินิยม-รัฐนิยม" ที่ไม่สามารถเข้าแทนที่ กษัตริย์นิยม ได้อย่างแท้จริง เป็นต้น

มอบความจริงแก่สังคม คืนศักดิ์ศรีแก่ผู้เสียชีวิต


ไหนว่าใช้วิธีการจากเบาไปหาหนัก?
มอบความจริงแก่สังคม คืนศักดิ์ศรีแก่ผู้เสียชีวิ

เพจ Voices of Siam ขอร่วมเผยแพร่ข้อมูลผู้เสียชีวิตฝ่ายประชาชน ในเหตุการสลายการชุมนุมช่วงวันที่ 13-18 พฤษภาคม 2553 โดยย่อ (ภาพชุดที่ 3/5)

1)
ชื่อ: นาย สมาพันธ์ ศรีเทพ(เฌอ)
เหตุให้เสียชีวิต: ถูกยิงที่ศรีษะ
วันที่เสียชีวิต: 15 พ.ค.2553
อายุ: 17 ปี
ที่เกิดเหตุ: ถ.ราชปรารภ
อาชีพ: นักเรียน
สถานะ: ผู้มาสังเกตการณ์
เสียชีวิตขณะ: -
อาวุธที่พบ: ไม่มี
ที่มา: http://www.pic2010.org/download/tfj/truth-p122-23.pdf
ภาพจาก:https://www.facebook.com/photo.php?fbid=208740062486922&set=a.151191868241742.29745.100000527893956&type=3

2)
ชื่อ: นาย บุญทิ้ง ปานศิลา
เหตุให้เสียชีวิต: ถูกยิงที่คอ
วันที่เสียชีวิต: 14 พ.ค.2553
อายุ: 25 ปี
ที่เกิดเหตุ: ถ.ราชปรารภ
อาชีพ: หน่วยกู้ชีวิตวชิรพยาบาล
สถานะ: หน่วยกู้ชีพ
เสียชีวิตขณะ: เข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บ
อาวุธที่พบ: ไม่มี
ที่มา: http://www.pic2010.org/download/tfj/truth-p122-223.pdf
ภาพจาก: http://sewanaietv.blogspot.com/2011/05/1_15.html

3)
ชื่อ: นาย กิตติพันธ์ ขันทอง
เหตุให้เสียชีวิต: ถูกยิงที่ช่องท้อง
วันที่เสียชีวิต: 14 พ.ค.2553
อายุ: 25 ปี
ที่เกิดเหตุ: ถ.ราชปรารภ
อาชีพ: รับจ้าง
สถานะ: ผู้ร่วมชุมนุม
เสียชีวิตขณะ: เข้าไปช่วย นายบุญทิ้ง ปานศิลา
อาวุธที่พบ: ไม่มี
ที่มา: http://www.pic2010.org/download/tfj/truth-p122-223.pdf
ภาพจาก: http://sewanaietv.blogspot.com/2011/05/1_15.html


4)
ชื่อ: ด.ช. คุณากร ศรีสุวรรณ
เหตุให้เสียชีวิต: ถูกยิงที่ช่องท้อง
วันที่เสียชีวิต: 14 พ.ค.2553
อายุ: 14 ปี
ที่เกิดเหตุ: ถ.ราชปรารภ
อาชีพ: นักเรียน
สถานะ: ผู้สัญจรผ่านที่เกิดเหตุ
เสียชีวิตขณะ: โดยสารในรถตู้
อาวุธที่พบ: ไม่มี
ที่มา: http://www.pic2010.org/download/tfj/truth-p122-223.pdf
ภาพจาก: http://www.arnakot.com/_files/news/1317178563_0.jpg

5)
ชื่อ: นาย มานะ แสนประเสริฐศรี
เหตุให้เสียชีวิต: ถูกยิงที่ศรีษะ
วันที่เสียชีวิต: 15 พ.ค.2553
อายุ: 22 ปี
ที่เกิดเหตุ: ถ.พระราม 4
อาชีพ: อาสาสมัครป่อเต็กตึ๊ง
สถานะ: อาสาสมัครป่อเต็กตึ๊ง
เสียชีวิตขณะ: เข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บ
อาวุธที่พบ: ไม่มี
ที่มา: http://www.pic2010.org/download/tfj/truth-p122-223.pdf
ภาพจาก: http://prachatai3.info/sites/default/files/u7/IMG_0045.jpg

6)
ชื่อ: น.ส. สัญธะนา สรรพศรี
เหตุให้เสียชีวิต: ถูกยิงที่ลำคอ
วันที่เสียชีวิต: 14 พ.ค.2553
อายุ: 32 ปี
ที่เกิดเหตุ: ซอยหมอเหล็ง
อาชีพ: ล่าม
สถานะ: ผู้สัญจรผ่านที่เกิดเหตุ
เสียชีวิตขณะ: นั่งซ้อนจักรยานยนต์
อาวุธที่พบ: ไม่มี
ที่มา: http://www.pic2010.org/download/tfj/truth-p122-223.pdf
ภาพจาก: https://www.facebook.com/photo.php?fbid=2813107369947&set=pb.1326674894.-2207520000.1346645131&type=1&theater

7)
ชื่อ: นาย วารินทร์ วงศ์สนิท
เหตุให้เสียชีวิต: ถูกยิงที่กลางอก
วันที่เสียชีวิต: 15 พ.ค.2553
อายุ: 28 ปี
ที่เกิดเหตุ: บ่อนไก่
อาชีพ: อาสาสมัครศูนย์นเรนทร
สถานะ: อาสาสมัครศูนย์นเรนทร
เสียชีวิตขณะ: เข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บ
อาวุธที่พบ: ไม่มี
ที่มา: http://www.pic2010.org/download/tfj/truth-p122-223.pdf
ภาพจาก: https://www.facebook.com/photo.php?fbid=3609166350924&set=pb.1326674894.-2207520000.1346645131&type=1&theater

8)
ชื่อ: นาย เหิน อ่อนสา
เหตุให้เสียชีวิต: ถูกยิงที่ขาหนีบ
วันที่เสียชีวิต: 15 พ.ค.2553
อายุ: 40 ปี
ที่เกิดเหตุ: ปากซอยราชปรารภ 16
อาชีพ: รับจ้าง
สถานะ: -
เสียชีวิตขณะ: -
อาวุธที่พบ: ไม่มี
ที่มา: http://www.pic2010.org/download/tfj/truth-p122-223.pdf
ภาพจาก: http://kwamrak.blog.fc2.com/blog-entry-285.html

9)
ชื่อ: นาย ธนากร ปิยะผลดิเรก
เหตุให้เสียชีวิต: ถูกยิงตัดเส้นเลือดคอ
วันที่เสียชีวิต: 15 พ.ค.2553
อายุ: 50 ปี
ที่เกิดเหตุ: ระเบียงคอนโดที่พัก
อาชีพ: ค้าขาย
สถานะ: อาศัยในพื้นที่
เสียชีวิตขณะ: ยืนอยู่บนระเบียงห้องพัก
อาวุธที่พบ: ไม่มี
ที่มา: http://www.pic2010.org/download/tfj/truth-p122-223.pdf
ภาพจาก: มิตรสหายท่านหนึ่ง

จม.เปิดผนึกจาก "นายกทักษิณ" ถึงญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุสลายชุมนุม

เรียนญาติและครอบครัววีรชนทุกท่าน
ผมรู้สึกซาบซึ้งในความเสียสละขอ
งวีรชนทุกท่านที่ได้ร่วมกันสร้างวีรกรรมในการกอบกู้ประชาธิปไตยแต่ต้องมาประสบเคราะห์กรรม ผมขอยืนยันว่าผมเป็นคนรำลึกถึงบุญคุณของทุกท่านตลอดเวลา และพยายามที่จะดูแลครอบครัวของวีรชนทุกท่านให้ดีที่สุด วันนี้ผมอยากจะฝากหนังสือที่เขียนถึงตัวตนที่แท้จริงของผม เพื่อท่านจะได้รู้ว่าเพราะตัวตนที่แท้จริงเป็นแบบนี้ ผมจึงคิดว่าการให้โอกาสแก่คนไทยทุกคน คนไทยทุกคนก็จะหายจนพ้นความลำบาก และร่ำรวยได้ในที่สุด เพราะผมมีความเชื่อเช่นนี้ และมั่นใจว่าทำได้จึงได้ทำอย่างเต็มที่ จนเกิดแรงเสียดทานทั้งจากความกลัวในความเปลี่ยนแปลง และความไม่อยากเห็นความสำเร็จของคนบางกลุ่ม จนเป็นที่มาของความวุ่นวายทางการเมืองจนถึงปัจจุบัน ผมขอเป็นกำลังใจและยืนเคียงข้างพวกท่านจนกว่าชีวิตจะหาไม่ครับ”
รักผูกพันธ์และห่วงใย
ทักษิณ ชินวัตร
จม.เปิดผนึก "ทักษิณ" ถึงญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุสลายชุมนุม #nsn
ขอบคุณภาพ : นิกร ยิ้มสวัสดิ์ ...เนชั่น ทีวี

วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

คลิป รายการ นายแน่มาก วันที่ 20 กันยายน 2555 โดยคุณคฑาวุธและMr.BigBuff



รายการ นายแน่มาก วันที่ 20 กันยายน 2555 โดยคุณคฑาวุธและMr.BigBuff


ช๊อค !!! “การ์ดพันธมิตรฯ – น้องรักสุริยะใส” นั่ง “อนุฯ คอป.” คุม สอบ “สลายการชุมนุม”


ตะลึง !!! “การ์ดพันธมิตรฯ – น้องรักสุริยะใส” นั่ง “อนุฯ คอป.” คุม สอบ “สลายการชุมนุม”


Posted by bigeditor on 20 Sep 2012 / 0 Comment



ในที่สุด “คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ” หรือ “คอป.” ที่ ดำเนินการมา 2 ปีกว่าๆ  (กรกฎาคม 2553-กรกฎาคม 2555)  เพื่อค้นหา “ความจริง” ของความขัดแย้งทางการเมือง ในเหตุการณ์เดือนเมษายนและพฤษภาคม ปี 2553
ก็ได้ฤกษ์คลอด “รายงานฉบับสมบูรณ์” 200 กว่าหน้า  มูลค่า 65,261,586.80 บาท (หกสิบห้าล้านสองแสนหกหมื่น….)ให้ออกมาให้ “คนไทย” ได้ชื่นชม
ซึ่งบทสรุปของ “คอป.” นั้น นับได้ว่าเป็น “รายงานฉบับ (ป้ายสี) สมบูรณ์”  ให้กับ “กลุ่มผู้ชุมนุม”  และ “เหยื่อ” ที่ได้รับความสูญเสีย
โดยเฉพาะในรายของ “พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล” หรือ “เสธแดง” ที่ถูกลอบยิง จาก“สไนเปอร์” จนต้องเสียชีวิต ซึ่งน่าจะเป็น “ผู้เสียหาย” แต่กลัต้องกลายเป็น “ผู้ต้องหา” ว่าอยู่เบื้องหลัง “คนชุดดำ”
ทั้งๆ ที่ไม่มีแม้กระทั่งโอกาส ที่จะได้ “ให้ข้อเท็จจริง” กับ “คอป.” !
ซ้ำร้าย  “รายงาน ของ คอป.” กลับดูเหมือนว่า ไป “รับรอง” คำสั่ง “ลั่นกระสุน” ให้กับ “ศอฉ.” (ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน” หน้าตาเฉย
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ที่ “รายงานฉบับ (ป้ายสี) สมบูรณ์” ของ “คอป.” จะออกมารูปนี้
เนื่องจากภายใน “คอป.” ทราบกันดีว่า กรรมการที่มีอิทธิพลต่อการขับเคลื่อน ก็คือ “สมชาย หอมลออ”  แม้ “ประธาน คอป.” จะเป็น “คณิต ณ นคร” !!!
ซึ่งเราๆ ท่านๆ ก็รู้กันอยู่ว่า “สมชาย หอมลออ” ก็คือ ทนายความสิทธิมนุษยชน ที่เคลื่อนไหวหนุนหลัง “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” มาตลอดอยู่แล้ว
ยกตัวอย่างง่ายๆ อาทิ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2551 “สมชาย หอมลออ” ร่วมกับ “ไพโรจน์ พลเพชร” (นักเคลื่อนไหวผู้ประกาศถอนตัวจาก การเป็น กรรมการ คอป.ไปก่อน เพราะเกรงว่าจะถูกกล่าวหาไม่เป็นกลาง เนื่องจากเคยเคลื่อนไหวกับกลุ่มพันธมิตรฯ) ออกแถลงการณ์ประณาม “รัฐบาลพรรคพลังประชาชน” ของ “นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์” ที่ใช้ “แก๊สน้ำตา” สลายการชุมนุม “กลุ่มพันธมิตรฯ” ที่บุกปิดล้อมอาคารรัฐสภา
ก่อนหน้านั้น “สมชาย” ก็เป็นคนหนึ่งที่ลุกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์ เชิงลบ ต่อ “รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร”  นับครั้งไม่ถ้วนอยู่แล้ว  โดยเฉพาะในประเด็น “การแก้ไขปัญหาภาคใต้” และ “การแก้ไขปัญหายาเสพติด”
ยิ่งเมื่อลองไปหาข้อมูลดู ในโลกไซเบอร์ ก็จะพบ “ภาพ” … “สมชาย” ที่ใกล้ชิดกับ “แกนนำพันธมิตรฯ” อีกเพียบ !!!
แต่เพียงแค่ “สมชาย หอมลออ” คนเดียว คงไม่สามารถปั้น “รายงานฉบับ (ป้ายสี) สมบูรณ์” ออกมาเป็นแบบนี้ได้ แน่ๆ
ซึ่งถ้าเราย้อนไปมอง โครงสร้างคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการชุดต่างๆ จะเห็นได้ว่า “คณะอนุกรรมการ” ที่มีอิทธิพลต่อภารกิจหลักของ “คอป.” ในการ “ค้นหาความจริง”
และเป็นชุดหลักในการ “ชง” ข้อมูล ที่นำมาสู่ การจัดทำ “รายงาน” คือ “คณะอนุกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริง” ที่ “คอป.” ได้มีคำสั่งแต่งตั้ง อีก “5 คณะ”  ย่อย มากลุ่มๆ ที่จะลงมือดำเนินการตรวจสอบและค้นหาความจริงเป็นรายกรณี
โดย ใน “คำสั่ง คอป.ที่ 7/2553 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินการตรวจสอบและค้นหาความจริงเฉพาะกรณี” (ที่ คอป.เผยแพร่ 200 กว่าหน้านั่นแหละ) ระบุชื่อ “คณะอนุกรรมการฯ” แต่ละชุดชัดเจน
ซึ่งถ้าไปลองไปไล่ ดูรายชื่อก็จะพบว่า บางคน ก็คือ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” เหลืองๆ นี่แหละ ที่ดอดเข้ามาร่วมเป็น “อนุกรรมการฯ” ในการ “ค้าหาความจริง” ให้กับ “คนเสื้อแดง” หน้าตาเฉย
แล้วอย่างนี้มีหรือที่จะ เราจะหวัง “ความเป็นธรรม” !!!
ยกตัวอย่างง่ายๆ “เมธา มาสขาว” ที่นั่งเป็น “คณะอนุฯ ตรวจสอบรายกรณี” ครบทั้ง “ 5 คณะ” ก็คือ นักเคลื่อนไหว ที่ป้วนเปี้ยนๆ อยู่กับ “สมชาย หอมลออ” และ “คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.)” ที่  “สุริยะใส กตะศิลา” แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็น “เลขาธิการ ครป.” อยู่
ที่สำคัญ “เมธา มาสขาว” นี่เขาก็ว่ากันว่า “น้องรักของพี่ใส” เลยนะ !!!
เพราะ หลายครั้ง ก็ยังมีผู้พบเห็นเขา อยู่ใกล้ๆ เวทีพันธมิตรฯ  และอีกหลายๆ ครั้งก็ “ออกแถลงการณ์” โจมตี “รัฐบาลพรรคไทยรักไทย” ในทิศทางเดียวกับ “พี่ใส” ซะด้วย
แต่ที่สำคัญก็คือ ในรายของ “ชัยวัฒน์ ตรีวิทยา” ที่มีชื่อเป็น “อนุฯย่อย 2 คณะ” คือใน คณะที่ 1 และ คณะที่ 2 ที่ดูแล ประเด็นหลักๆ ที่  คอป. จะต้องศึกษา คือ ประเด็นความรุนแรงในภาพรวม และประเด็น การเสียชีวิต 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม เหตุการณ์ 10 เมษายน การปะทะที่อนุสรณ์สถาน ดอนเมืองและสถานีดาวเทียมไทยคม
หากมองแต่ชื่อก็อาจจะไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่แฟนนานุแฟนพันธมิตรฯ โดยเฉพาะผู้ติดตาม “เว็บไซด์ผู้จัดการ” อยู่เป็นประจำ ก็จะคุ้นๆกับชื่อ “ชัยวัฒน์ ตรีวิทยา” และข่าว “แทงคอการ์ดพันธมิตรฯ”  เมื่อปี 2551 ช่วงที่ “พันธมิตรฯ” ชุมนุมใหญ่ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9510000077001
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9510000077232
โดย ในเว็บไซด์ผู้จัดการออนไลน์ เปิดประเด็นโดย “พาดหัว” ว่า “การ์ดพันธมิตรฯ กลับบ้านช่วงเช้ามืดถูกคนร้ายวิ่งตามมาบนสะพานลอยเข้าทำร้ายร่างกาย ก่อนถูกแทงเข้าคอจนเลือดไหลโชกแล้ววิ่งหนีขึ้นรถเมล์ไป เจ้าตัวเชื่อไม่ใช่แค่ต้องการชิงทรัพย์”
ซึ่งไม่แน่ใจว่า “ชัยวัฒน์ ตรีวิทยา” ที่เป็น “อนุย่อยฯ คอป.” กับ “ชัยวัฒน์ ตรีวิทยา” การ์ดพันธมิตรฯ  ที่ถูกแทงคอ ตามข่าว “ผู้จัดการออนไลน์” เป็นคนเดียวกันหรือไม่
แต่ด้วย “ชื่อ” และ “นามสกุล”  ที่ดันไป “ตรงกัน” เป๊ะ ! อย่างประหลาด
จึงทำให้เชื่อได้ว่า “รายงานฉบับนี้ (ป้ายสี) สมบูรณ์แบบ”  !!!





http://www.siamleaks.com/top-news/2012/497.html

ทหาร ไม่ได้มีแค่ชายชุดดำ คอป. เห็นภาพเหล่านี่หรือยัง???

มาร์คโวยข้อหาฆ่า คดีต่อไป มือยิงหนังสติ๊ก
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdNVEU1TURrMU5RPT0%3D&sectionid=TURNd01RPT0%3D&day=TWpBeE1pMHdPUzB4T1E9PQ%3D%3D

(19 กันยายน 2555 กองบรรณาธิการกลุ่มสื่อประชาชน) - ภาพ "เจ้าหน้าที่" ยืนคู่กับ "ชายชุดดำ" ไม่ทราบว่า คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่บิดเบือนข้อมูลและใส่ร้ายผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมของกลุ่มผู้ เรียกร้องประชาธิปไตยในเหตุการณ์ 10 เมษายน - 19 พฤษภาคม 2553 เห็นภาพเหล่านี้หรือยัง?


ภาพ "เจ้าหน้าที่" ยืนคู่กับ "ชายชุดดำ" คอป.เห็นหรือยัง?


คนขับรถ ก๊าซ แต่อยู่ กับทหาร คอป. เห็นภาพนี่ หรือ ยัง??

"เจ้าหน้าที่" ยืนคู่กับ "ชายชุดดำ" คอป.เห็นหรือยัง


ชายชุดแดง อยู่กับ ทหาร ภาพนี่ คอป. จะอธิบายว่าอย่างไร ??

แล้วนี่ อะไร กัน ชายชุดแดงปลอมเป็นทหาร หรือ ทหาร ปลอมเป็นคนเสื้อแดง ?

ไก่อู ออกมาตอแหล บอกว่าเป็นคนส่งอาหาร คงส่งบ้าน พ่องง มัน

http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P12675435/P12675435.html

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

คำนูญ เล่าเรื่อง "ผ้าพันคอสีฟ้า" และ "เงินสด 250,000 บาท"

เย็นฉ่ำทั่วทั้งร่างกายและจิตใจ
เย็นชื่นใจกับฝนเทครั้งนี้..
เป็นสายฝนที่มาถูกจังหวะ
ในขณะที่พันธมิตรฯถูกต้อนเข้ามุมอับ.!

ช่างมาโปรดโดยแท้..!!
ที่พึ่งสุดท้ายของเหล่าพันธมิตรฯจริงๆ

ฝนเทกระหน่ำ...ทำให้ตำรวจไม่กล้าจับ
จับไม่ได้ ..มีเรื่องแน่
ฟ้าฝ่านครบาลแน่ๆ ..ตายยกหมู่แน่นอน
ไม่เชื่อลองดู..
นี่คือ..สิ่งที่ฝนเทกระหน่ำพร่ำเตือน..

"สนธิ"และพันธมิตรฯดุจได้แรงใจนับล้าน
ไม่โดดเดี่ยว..ไม่เดียวดาย..
หากแต่มีกำแพงเหล็ก..ได้พิงหลังสู้..
สู้..สู้..สู้...ไม่ถอย...

"ผ้าพันคอสีฟ้า"ปริวสะบัด ณ ยอดเสา
ราวกับว่า..จะบ่งบอกผู้มาเยือน
เตือนผู้ที่จะมาจับกุม...
ให้ระวัง -ให้เช็กข่าว -ให้เช็กสาย
ให้ดูให้ดี..ใครคือใคร

ฝนเทหนัก.!
ลมยังพัด..งานเฉลิมฉลองฯไปด้วย..
ลมพัดแรงย้ายสถานที่ไปจัดที่ใหม่ "สวนอัมพรสถาน"
"ราชเลขา"ออกแถลงการณ์...รับประกัน..

ฝนเทหลัก-ฟ้ามาโปรด
ชั่วนี้ชีวิตนี้..
ตายไม่เสียชาติเกิดแล้ว "สนธิ"

เอย..!!
 http://www.oknation.net/blog/print.php?id=307905

(1/1)

Porsche:
คำนูญ เล่าเรื่อง "ผ้าพันคอสีฟ้า" และ "เงินสด 250,000 บาท" - ข้อมูลเก่า

http://serichon.com/board/index.php?topic=11365.0;wap2

ช่วง นี้ ผมกำลังพยายามเขียนบทความเรื่องหนึ่ง เพื่อให้ทันกับการ "เฉลิมพระเกียรติ" วันที่ 12 สิงหาคมที่จะถึงนี้ ไม่ทราบจะเสร็จทันหรือไม่ และไม่ทราบจะเผยแพร่หรือไม่ (ตั้งชื่อเรื่องว่า "พระบารมีปกเกล้า: พระสุรเสียงราชินีบนเวทีพันธมิตร")

อัน ที่จริง ช่วงนี้ หากใครช่างสังเกต น่าจะอดรู้สึกไม่ได้ว่า ดูเหมือนจะมีกิจกรรมเกี่ยวกับสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถเพิ่มมากขึ้น กว่าหลายปีทีผ่านมา แม้ปีนี้ จะไม่ใช่ปีที่มีลักษณะพิเศษ (เช่น ปีครบรอบนักษัตร พระชนมายุ, หรือ ครบรอบทศวรรษ การครองอิสระยศพระราชินี เป็นต้น)

นอกจากรัฐบาลประกาศจัดงาน 116 วัน ที่เริ่มจากวันที่ 12 สิงหาคมแล้ว ยังมีข่าวจาก Bangkok Post ว่า จะมีการรื้อฟื้นประเพณี แม่โพธิสพ ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯจะทรงเสด็จเป็นประธาน ประเพณีนี้ กล่าวกันว่า ไม่ได้ปฏิบัติมาเป็นเวลา 47 ปี (ดูข่าวที่ http://www.bangkokpost.com/020808_News/02Aug2008_news08.php และความเห็นสั้นๆของ Bangkok Pundit ที่ http://bangkokpundit.blogspot.com/2008/08/reviving-of-rituals.html

.......................


ใน ระหว่างการเตรียมเขียนบทความ ผมกลับไปอ่านหนังสือ ปรากฏการณ์สนธิ จากเสื้อสีเหลือง ถึง ผ้าพันคอสีฟ้า ของคำนูญ สิทธิสมาน ทีตีพิมพ์ทันทีหลังรัฐประหาร 19 กันยา (สำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์, ตุลาคม 2549) ในบทก่อนบทสุดท้าย (บทที่ 24) ซึ่ง คำนูญ ได้ให้ชื่อบทว่า "เสื้อสีเหลือง ผ้าพันคอสีฟ้า" เขาได้เล่าถึงความเป็นมาของ "ผ้าพันคอสีฟ้า" ที่ปรากฏขึ้น ในที่ชุมนุมของพันธมิตร ในช่วงวันท้ายๆก่อนรัฐประหาร

ความ จริง ข้อมูลที่คำนูญเล่า ได้รับการ "ข้ามพัน" (superseded) โดยข้อมูลที่สนธิเองนำมาเล่าทั้งในปี 2550 (ทีนิวยอร์ก และเปิดเทปซ้ำในรายการยามเฝ้าแผ่นดิน) และที่เวทีพันธมิตรเมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่เพิ่งผ่านมาแล้ว แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้ ผมได้เขียนกระทู้เรื่องสนธิเปิดเผยความเป็นมาของผ้าพันคอสีฟ้าไปแล้ว http://www.sameskybooks.org/board/index.php?showtopic=8782
และ อีกอย่างหนึ่ง ข้อมูลของคำนูญ ยังมี "มากกว่า" ข้อมูลที่สนธิเปิดเผยภายหลังอยู่ ในประเด็นทีน่าสนใจประเด็นหนึ่ง คือเรื่อง "เงินสด 250,000 บาท" (ดูข้างล่าง) เพื่อให้เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ไว้ ทั้งสำหรับคนที่อาจจะยังไม่เคยอ่านหนังสือของคำนูญ ผมจึงขอคัดนำมาลงในทีนี้ ดังนี้ (อยู่ในหน้า 278-279 และหน้า 281 ของหนังสือดังกล่าว - การเน้นคำด้วยตัวสีแดงเป็นของผม การเน้นคำตัวหนาเป็นของคำนูญเอง)



เรา กำหนดให้แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในเวลา 19.00 น. ค่ำวันที่ 15 กันยายน 2549 ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะในวันน้นรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรคอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่ 16 จัดขึ้นที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่อยู่ติดๆกันเป็นอาคารเดียว

เวลา 19.00 น. วันศุกร์ที่ 15 กันยายน 2549 แม้แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทุกคน ยกเว้น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่เดินทางกลับไปปฏิบัติภารกิจที่โรงเรียนผู้นำกาญจนบุรี จะสวมใส่เสื้อสีต่างกันไป แต่ทุกคนมีเหมือนกันอยู่อย่าง

ต่างพันผ้าพันคอสีฟ้า!

เฉพาะ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล จะอยู่ในเสื้อสีเหลือง พันผ้าพันคอสีฟ้า ในทุกครั้งที่ปรากฏตัวต่อสื่อมวลชนนับจากนั้น ไม่ว่าจะที่สุราษฎร์ธานี เกาะสมุย หรือสนามบินดอนเมือง

ผ้าพันคอสีฟ้าเป็นการแต่งการที่ไม่ได้วางแผนมาก่อน

แต่ เมื่อมีท่านผู้ปรารถนาดีที่ไม่ประสงค์จะให้ออกนามและหน่วยงานนำผ้าพันคอสี ฟ้ามาให้จำนวน 300 ผืน เมื่อเวลาประมาณ 18.00 น. วันนั้น ทั้งคุณสนธิ ลิ้มทองกุล และแกนนำอีก 3 คนที่อยู่ ณ ที่นั้น คือ คุณพิภพ ธงไชย, คุณสมศักดิ์ โกศัยสุข และอาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ต่างพร้อมใจกันนำขึ้นมาพันคอทันที ดูเหมือนผู้สื่อข่าวก็สังเกตเห็นในเวลาแถลงข่าว แต่ไม่มีใครถามถึงความหมาย เพียงแต่มีอยู่คนหนึ่งถามขึ้นว่าจะนัดหมายให้ประชาชนพันผ้าพันคอสีฟ้ามาร่วม ชุมนุมใหญ่ในอีก 5 วันข้างหน้าหรือเปล่า คำตอบที่ได้รับก็คือ ไม่จำเป็น แต่งกายอย่างไรมาก็ได้ ขอให้มากันมากๆก็แล้วกัน

แต่เมื่อคุณสนธิ ลิ้มทองกุล พันผ้าพันคอสีฟ้าในทุกครั้งที่แถลงข่าวนับจากวันนั้นเป็นต้นมา โดยเฉพาะพันให้ส่วนที่เป็นมุมสามเหลี่ยมหันมาอยู่ด้านหน้า แบบคาวบอยตะวันตก ไม่ใช่แบบลูกเสือ ก็ทำให้สื่อมวลชนสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะไอทีวี ได้โคลสอัพผ้าพันคอผืนนั้นมาออกจอในช่วงข่าวภาคค่ำเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2549 ด้วย

ถ้าสังเกตสักหน่อย ก็จะอ่านได้ว่า

902
74
12 สิงหาคม 2549
แม่ของแผ่นดิน

ผ้า พันคอสีฟ้าผืนนี้ พวกเราที่เป็นทีมงานเก็บไว้คนละผืนสองผืน และนัดหมายกันไว้ว่าจะพร้อมใจกันพันในวันชุมนุมใหญ่ วันพุธที 20 กันยายน 2549 เสื้อสีเหลือง "เราจะสู้เพื่อในหลวง" + ผ้าพันคอสีฟ้า "902..." ขณะเดียวกันคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้สั่งตัดผ้าพันคอสีฟ้าแบบใกล้เคียงกัน ต่างกันแต่เนื้อผ้า และไม่มีคำ "902" เท่านั้น เตรียมออกจำหน่ายจ่ายแจกแก่ประชาชนที่จะมาร่วมชุมนุมในวันนั้น

เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทำให้คุณสนธิ ลิ้มทองกุลมีความมั่นใจอย่างยิ่งว่าพวกเราจะประสบชัยชนะแน่นอน

ศรัทธาที่มีอย่างเต็มเปี่ยมมาโดยตลอดกว่า 1 ปียิ่งล้นฟ้าสุดจะพรรณนา


........................



เย็น วันที่ 4 กันยายน 2549 คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้รับการประสานทางโทรศัพท์จากสุภาพสตรีสูงศักดิ์ท่านหนึ่งให้ไปพบณที่พำนัก ของท่านไม่ไกลจากบ้านพระอาทิตย์มากนัก เมื่อไปพบ ท่านได้แจ้งว่าตัวท่านและคณะของท่านรวมทั้งผู้ใหญ่ที่ท่านเคารพ ขอให้กำลังใจ ขอขอบใจที่ได้กระทำการปกป้องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อย่างกล้าหาญมาโดยตลอด และขอให้มั่นใจว่าธรรมจะต้องชนะอธรรม ก่อนกลับออกมา ท่านได้ฝากของขวัญจากผู้ใหญ่ที่ท่านเคารพใส่มือคุณสนธิ ลิ้มทองกุล

เป็นกระเป๋าผ้าไทยลายสีม่วงทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดประมาณกระเป๋าสตางค์ของสุภาพสตรีที่เห็นทั่วไปในงานศิลปาชีพ

เมื่อนั่งกลับออกมา คุณสนธิ ลิ้มทองกุล เปิดดูพบว่า เป็นธนบัตรใหม่เอี่ยมมูลค่ารวม

250,000 บาท !

เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่ทำให้คุณสนธิ ลิ้มทองกุล มีความมั่นใจอย่างยิ่งว่าพวกเราจะประสบชัยชนะแน่นอน !

ศรัทธาที่มีอย่างเต็มเปี่ยมมาโดยตลอดกว่า 1 ปียิ่งล้นฟ้าสุดจะพรรณนา

ไม่ ว่าอนาคตข้างหน้าจะอย่างไรก็ตาม ความทรงจำที่จะไม่มีวันลืมเลือนไปจวบวันตายก็คือ ครั้งหนึ่งในชีวิต ประชาชนช่วยจ่ายเงินเดือนเราโดยตรง แผ่นดินช่วยจ่ายเงินเดือนพวกเราโดยตรง

ช่างเป็นชีวิตช่วงที่บรรเจิดเพริดแพร้วยิ่งนัก !





ถึงทุกท่านที่ต้องการแสดงความคิดเห็น

โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างระมัดระวัง
ผมไม่ขอรับผิดชอบใดๆต่อความเห็นที่แสดง
และคงจะไม่มาตอบ (โปรดรออ่านบทความฉบับเต็ม)

โพสต์โดย : สมศักดิ เจียมธีรสกุล

http://www.prachatai.com/webboard/topic.php?id=706427

โฉมหน้าหญิงคลั่งเจ้า ด่าป้าดา กลางห้างดัง


ครูสาววัย 31 ปี โรงเรียน นานาชาติ ชื่อดัง ย่านรังสิต คลองสาม ก่อเหตุ ด่า นาง ดารุณี กฤตบุญญาลัย กลางห้างดัง สยามพารากอน

เมื่อเวลาบ่าย วันนี้ 18 กันยายน 2555 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุด ดำเนินคดี สาวชุดดำ ด่า นาง ดารุณี กฤตบุญญาลัย กลางห้างดังสยามพารากอน ได้ติดต่อให้ นางดารุณี เดินทางมาชี้ตัวผู้ต้องสงสัย ที่เป็นผู้ต้องหาคดีนี้ จากรูปภาพที่ทางเจ้าหน้าที่ได้มา ซึ่ง

นา
งดารุณี และ ผู้ช่วย นาง สุณี สราคำ ชี้ตัวจากรูปได้ตรงกัน เพราะ จำได้ดี เนื่องจากอยู่ในที่สว่างในวันนั้น และหญิงคนนี้ ยืนด่าอยู่เป็นเวลานานหลายนาที จึงจำหน้าได้อย่างแม่นยำ หลังจากนั้นเมื่อกลับออกมา ก็มีผู้หวังดีส่งภาพหญิงคนนั้นมาให้ ซึ่งก็คือภาพตัวจริงของหญิงคนนั้เช่นกัน

หญิงคนนี้ ชื่อ น.ส. มนัสนันท์ หนูคำ วัน เดือน ปี เกิด 16 พ.ค. 2524 อายุ 31 ปี อยู่ แถว คลองสาม จังหวัด ปทุมธานี เป็น ครู สอนหนังสือ ที่ โรงเรียนนานาชาติ แห่งหนึ่ง โดยเข้ามาสอนชั้นมัธยมต้น แต่ การประเมินผลการสอนไม่ผ่าน จึงลดลงมาสอนชั้น ประถม ก็ยังไม่ผ่านการประเมินผลอีก จึงไม่ทราบ สาเหตุที่เพิ่งลาออกจากโรงเรียน เมื่ไม่กีวันมานี้ เพราะ ลาออกเอง หรือโดนให้ออก...

เจ้าหน้าที่ จะออกหมายเรียกมาสอบสวนต่อไป ถ้าไม่มาตามกำหนด ก็จะออกหมายจับ
Red USA

19กันยา ครบรอบ 6ปี รัฐประหาร







วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

พวกเขานี้หรือ คือผู้ก่อการร้าย??? ในรายงาน ของ คอป.

พวกเขาคือผู้ก่อนการร้าย?
มอบความจริงแก่สังคม คืนศักดิ์ศรีแก่ผู้เสียชีวิต (1/3)

1)ชื่อ: นาย วสันต์ ภู่ทอง
เหตุให้เสียชีวิต: ถูกยิงที่ศีรษะ
วันที่เสียชีวิต: 10 เม.ย. 2553
อายุ: 39 ปี
ที่เกิดเหตุ: ถ.ดินสอ
อาชีพ: เย็บเสื้อผ้า
สถานะ: ผู้ร่วมชุมนุม
เสียชีวิตขณะ: กำลังโบกธง
อาวุธที่พบ: ไม่มี
ที่มา: http://prachatai.com/journal/2011/09/36879
ภาพจาก: http://sewanaietv.blogspot.com/2011/09/11-2554.html

2)ชื่อ: Mr. Hiroyuki Muramoto
เหตุให้เสียชีวิต: ถูกยิงที่อกซ้าย
วันที่เสียชีวิต: 10 เม.ย. 2553
อายุ: 43 ปี
ที่เกิดเหตุ: ถ.ดินสอ
อาชีพ: ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์
สถานะ: นักข่าว
เสียชีวิตขณะ: เก็บภาพการสลายชุมนุม
อาวุธที่พบ: ไม่มี
ที่มา: http://www.pic2010.org/dinsor/
ภาพจาก: http://peterslarson.com/2010/04/11/hiroyuki-muramoto-1967-2010/

3)ชื่อ: นาย สวาท วงงาม
เหตุให้เสียชีวิต: ถูกยิงที่ศีรษะ
วันที่เสียชีวิต: 10 เม.ย. 2553
อายุ: 28 ปี
ที่เกิดเหตุ: สี่แยกคอกวัว
อาชีพ: อดีตพนักงานส่งเฟอร์นิเจอร์
สถานะ: การ์ด นปช.
เสียชีวิตขณะ: เข้้าไปช่วยน้องชายที่ถูกยิ
อาวุธที่พบ: ไม่มี
ที่มา: http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdNVEV4TURRMU5BPT0%3D
ภาพจาก: http://uddred.fix.gs/index.php?topic=81.0


4)ชื่อ: นาย ธวัฒนะชัย กลัดสุข
เหตุให้เสียชีวิต: ถูกยิงที่อกซ้าย ทะลุหลัง
วันที่เสียชีวิต: 10 เม.ย. 2553
อายุ: 36 ปี
ที่เกิดเหตุ: สี่แยกคอกวัว
อาชีพ: ลูกจ้างธนาคาร/ขับรถแท็กซี่
สถานะ: ผู้ร่วมชุมนุม
เสียชีวิตขณะ: วิ่ิงหนีการยิงกราดของทหาร
อาวุธที่พบ: ไม่มี
ที่มา: http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdPVEF4TVRBMU5BPT0%3D&sectionid=TURNd01RPT0%3D&day=TWpBeE1TMHhNQzB3TVE9PQ%3D%3D
ภาพจาก: http://www.dailymotion.com/video/xpzes1_yyyyyy-intelligence-yyyyyy-yy-8-yy-y-2555_news

5)ชื่อ: นาย ทศชัย เมฆงามฟ้า
เหตุให้เสียชีวิต: ถูกยิงที่อกซ้าย ทะลุหลัง
วันที่เสียชีวิต: 10 เม.ย. 2553
อายุ: 43 ปี
ที่เกิดเหตุ: ถ.ดินสอ
อาชีพ: พนักงานบริษัท
สถานะ: ผู้ร่วมชุมนุม
เสียชีวิตขณะ: เข้าไปช่วยนายฮิโรยูกิ
อาวุธที่พบ: ไม่มี
ที่มา: http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdNakU0TURNMU5RPT0%3D&sectionid=TURNd01RPT0%3D&day=TWpBeE1pMHdNeTB4T0E9PQ%3D%3D
ภาพจาก: http://www.dailymotion.com/video/xpzes1_yyyyyy-intelligence-yyyyyy-yy-8-yy-y-2555_news

6)ชื่อ: นาย จรูญ ฉายแม้น
เหตุให้เสียชีวิต: ถูกยิงที่อกขวา
วันที่เสียชีวิต: 10 เม.ย. 2553
อายุ: 46 ปี
ที่เกิดเหตุ: ถ.ดินสอ
อาชีพ: ขับรถแท็กซี่
สถานะ: ผู้ร่วมชุมนุม
เสียชีวิตขณะ: ชุมนุมหน้าโรงเรียนสตรีวิทย
อาวุธที่พบ: ไม่มี
ที่มา: http://www.prachatai.com/journal/2012/09/42480
ภาพจาก: http://www.google.com/imgres?hl=en&safe=off&sa=X&rlz=1C1CHKZ_enUS438US438&biw=1366&bih=624&tbm=isch&prmd=imvns&tbnid=ocmcYm3LOSpoSM%3A&imgrefurl=http%3A%2F%2Fuddred.fix.gs%2Findex.php%3Ftopic%3D81.0&imgurl=http%3A%2F%2Ffarm7.static.flickr.com%2F6221%2F6246809903_12dee12a03.jpg&w=374&h=500&ei=VQdDULnKJIni2QXB9oDQDA&zoom=1&iact=hc&vpx=235&vpy=232&dur=16&hovh=260&hovw=194&tx=109&ty=155&sig=117563508176104617926&page=4&tbnh=143&tbnw=132&start=66&ndsp=24&ved=1t%3A429%2Cr%3A19%2Cs%3A66%2Ci%3A350

7)ชื่อ: นาย สยาม วัฒนนุกูล
เหตุให้เสียชีวิต: ถูกยิงอก ทะลุหลัง
วันที่เสียชีวิต: 10 เม.ย. 2553
อายุ: 52 ปี
ที่เกิดเหตุ: ถ.ดินสอ
อาชีพ: ช่างซ่อมรถทัวร์
สถานะ: ผู้ร่วมชุมนุม
เสียชีวิตขณะ: พยายามออกจากที่เกิดเหตุ
อาวุธที่พบ: ไม่มี
ที่มา: http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdPREkxTVRJMU5BPT0%3D
ภาพจาก: http://uddred.fix.gs/index.php?topic=81.0

8)ชื่อ: นาย อำพน ตติยรัตน์
เหตุให้เสียชีวิต: ถูกยิงที่ศีรษะ
วันที่เสียชีวิต: 10 เม.ย. 2553
อายุ: 26 ปี
ที่เกิดเหตุ: สี่แยกคอกวัว
อาชีพ: น.ศ. นิติศาสตร์ ม.ศรีปทุม
สถานะ: ผู้ร่วมชุมนุม
เสียชีวิตขณะ: หลบอยู่ที่หลังเสาไฟฟ้า
อาวุธที่พบ: ไม่มี
ที่มา: http://www.pic2010.org/ampon/
ภาพจาก: http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dNVEV4TURRMU5BPT0%3D

9)ชื่อ: นาย ยุทธนา ทองเจริญพูลพร
เหตุให้เสียชีวิต: ถูกยิงที่ศีรษะ
วันที่เสียชีวิต: 10 เม.ย. 2553
อายุ: 23 ปี
ที่เกิดเหตุ: ถ.ดินสอ
อาชีพ: บัณฑิตจบใหม่คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาไฟฟ้า ม. เทคโนโลยีมหานคร กำลังจะเข้ารับปริญญาร
สถานะ: ผู้ร่วมชุมนุม
เสียชีวิตขณะ: -
อาวุธที่พบ: ไม่มี
ที่มา: http://www.pic2010.org/yutthana/
ภาพจาก: http://www.tfn5.info/board/index.php?topic=23051.0

คลิป คอป.แถลงรายงานฉบับสมบูรณ์





วันนี้ (17 ก.ย.) ที่โรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว ฟอร์จูน รัชดา  นายคณิต  ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอ ป.) พร้อมกรรมการคอป. แถลงข่าวสรุปผลรายงานคอป.ฉบับสมบูรณ์หลังครบวาระการทำงาน 2 ปี  โดยเนื้อหาในรายงานฉบับสมบูรณ์มีจำนวนเกือบ 300 หน้า พร้อมภาคผนวกเกี่ยวข้องกับข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่ผ่านมาของคอป.   โดยนายคณิต  กล่าวว่า  การดำเนินงานของคอป.ได้สิ้นสุดแล้วตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค. ที่ผ่านมา  ทางคณะกรรมการจึงได้มีการสรุปผลการดำเนินงานทั้งหมด โดยในรายงานมีเรื่องสำคัญคือข้อเสนอแนะหลายอย่าง ในการสร้างความปรองดองที่ นอกจากนี้คอป.ยังทำข้อแนวทางการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของคอป. ระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาวอีกด้วย  สิ่งที่ทางคอป.ทำทั้งหมดนั้นได้ทุ่มเทเพื่อให้เกิดความจริงมากที่สุด โดยคณะกรรมการคอป.ได้ตระหนักถึงเรื่องการใช้เงินภาษีประชาชนอย่างคุ้มค่าที่ สุด และอยากให้สื่อเผยแพร่สรุปผลงานของคอป.ต่อสาธารณะชนมากที่สุด  อย่างไรก็ตามการตรวจสอบของ คอป.  คงจะยังไม่สิ้นสุดเพียงแค่นี้   โดยจะตรวจสอบสิ่งที่เกี่ยวข้องต่อเหตุการณ์ความขัดแย้งรุนแรงต่างๆเพื่อไม่ ให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นอีกในอนาคต
นอกจากนี้เราได้ลงมติจะทำหนังสือเผยแพร่หลักการดำเนินการของคอป. เป็นพ็อคเก็ตบุ๊คฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ  และจะแปลเอกสารรายงานฉบับสมบูรณ์เป็นภาษาอังกฤษ จัดทำชุดผลงานเป็นบุ๊คเซ็ตเพื่อเผยแพร่ผลงานต่างๆ ทั้งรายงานฉบับสมบูรณ์และรายงานวิจัยต่างๆ ทำดิวิทัศน์เสนอผลงานแบบเป็นตอนๆต่อสาธารณะชน  ทำโครงการเกี่ยวกับการจัดการระบบฐานข้อมูล  เพื่อเก็บไว้ศึกษาเป็นประวัติศาสตร์  สุดท้ายนี้ตนเห็นว่าสังคมเราต้องอยู่ด้วยความหวัง  สิ่งที่คอป.คาดหวังคือสิ่งที่ทุกคนในสังคมต้องการก็คือความเป็นจริง  เพื่อที่จะเป็นการพัฒนาประชาธิปไตยไปในทิศทางให้ดี
ด้านนายสมชาย  หอมลออ  กรรมการคอป. กล่าวว่า ขณะนี้สังคมมีความจริงกันคนละชุด ดังนั้น หวังว่ารายงานคอป.จะทำให้เกิดข้อเท็จจริงที่เข้าใจตรงกันมากขึ้น โดยรายงานดังกล่าวนอกจากนำเสนอต่อรัฐบาลแล้วจะเปิดเผยต่อสาธารณด้วย อย่างไรก็ตาม การค้นหาข้อเท็จจริงของคอป.ไม่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนสอบสวนที่มุ่งหาตัวผู้ กระทำความผิด แต่ต้องการสืบหาข้อเท็จจริงเหตุการณ์รุนแรงกว่า 10 กรณีที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนเม.ย.-พ.คง 2553 เริ่มตั้งแต่เหตุการณ์ที่สถานีไทยคม เหตุการณ์ 10 เม.ย.53  เหตุการณ์ 6 ศพ วัดปทุมวนาราม ไปจนถึงการเผาห้างเซ็นทรัล เวิร์ล และสถานที่ราชการในต่างจังหวัด  โดยพบว่าคอป.มีอุปสรรคในการทำงานหลายด้านเนื่องจากไม่มีอำนาจในการออกหมาย เรียกบุคคลเข้าให้ข้อมูล และไม่มีอำนาจในการขอเอกสารต่าง ๆ ต้องอาศัยความร่วมมือเป็นหลักที่สำคัญ ในการรวบรวมข้อมูลยังพบว่าผู้ต้องหาระมัดระวังตัวในการให้ข้อมูลเพราะเกรง ว่าจะไปกระทบกับคดีที่ถูกดำเนินการอยู่  อย่างไรก็ตาม รายงานของคอป.อาจไม่ใช่ความจริงที่สุด หรือเป็นความจริงสุดท้าย แต่ขอให้ถือเป็นข้อเท็จจริงที่มาจากการรวบรวมข้อมูล ณ ปัจจุบัน 
สำหรับปมปัญหาความขัดแย้งคอป.พบว่าสืบเนื่องมาตั้งแต่การใช้อำนาจสมัยรัฐ บาลพ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร ที่ให้อำนาจรัฐบาลไว้มากเกินไป  ปมซุกหุ้น  การรัฐประหารปี 2549  นอกจากนี้ยังพบความรุนแรงในปี 2553 มีเหตุมาจากความไม่ไว้วางใจต่อกันระหว่างรัฐบาลกับประชาชน เช่น เหตุการณ์ที่พัทยา  และเมษาเลือด ทั้งนี้รายงานดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการตรวจสอบ เพราะข้อเท็จจริงฉบับเต็มยังมีอีกจำนวนมากที่จะนำเสนอต่อไป  ในส่วนการสรุปผลกระทบที่เกิดจากความรุนแรงในช่วงเดือนเม.ย. – พ.ค.2553 พบมีผู้เสียชีวิต 92 คน แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร 8 คน ตำรวจ 2 คน ที่เหลือเป็นผู้ชุมนุม  ทั้งนี้ไม่รวมคดีการเสียชีวิต 3 ศพ ที่สมานเมตตาแมนชั่น  โดยทั้ง 92 คน มีหลักฐานว่าเสียชีวิตเพราะชายชุดดำ 9 คน แยกเป็นทหาร 6 คน  ตำรวจ 2 คน และประชาชนกลุ่มรักษ์สีลม 1 คน 
จุดเริ่มต้นเหตุการณ์เริ่มส่อเค้ารุนแรงตั้งแต่วันที่  9 เม.ย. 2553 ที่สถานีดาวเทียมไทยคมซึ่งรัฐพยายามจะระงับการออกอากาศ  โดยครั้งนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำอาวุธสงครามไปด้วยแต่เก็บอาวุธและกระสุนแยกกัน ไว้ในรถเสบียง  แต่ผู้ชุมนุมได้ยึดมาและแถลงต่อสื่อ ทำให้กลายเป็นประเด็นว่าเจ้าหน้าที่ทหารเตรียมอาวุธปราบผู้ชุมนุม  กลายเป็นชนวนรุนแรงต่อมา 
ส่วนเหตุการณ์ที่นำไปสู่ความสูญเสียมากสุดคือที่บริเวณแยกคอกวัว และถนนดินสอ เมื่อวันที่ 10 เม.ย. มีผู้เสียชีวิต 26 คน เป็นพลเรือน 21 คน รวมสื่อต่างประเทศ  1 คน ทหาร 5 คน บาดเจ็บรวมกว่า 864 คน ในจำนวนนี้เป็นทหารกว่า 300 คน  และที่สำคัญคอป.ยังพบหลักฐานคนชุดดำ คือบุคคลที่ไม่ทราบฝ่ายแน่ชัด ไม่ประกาศตัวชัด อาจไม่ต้องแต่งชุดดำ แต่ใช้อาวุธสงครามโจมตีเจ้าหน้าที่ทั้งก่อนและหลังวันที่ 10 เม.ย.  โดยตรวจสอบกับกองพิสูจน์หลักฐานของตำรวจพบการใช้ เอ็ม 79  และปืนเล็กยาวยิงใส่เจ้าหน้าที่ด้วย  ซึ่งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการแถบถนนตะนาวและข้าวสาร  ทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิต  1 ราย ส่วนที่ถนนดินสอ  โรงเรียนสตรีวิทยา และอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยถูกคนชุดดำโจมตี  ทำให้หลังจากนั้นพบว่ามีร่องรอยกระสุนที่มีวิถียิงจากจุดที่มีเจ้าหน้าที่ ประจำการอยู่ เช่น จากทิศทางวงเวียนวัดบวรฯ มาแยกคอกวัว  จากสะพานวันชาติมาวงเวียนอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งพบมีร่องรองจำนวนมาก  และพบกระสุนที่ยิงสวนกลับไปแต่ไม่มากเท่าไหร่ 
ส่วนที่ถนนดินสอพบร่องรอยระเบิกเอ็ม 67 แต่ผู้เชี่ยวชาญบางรายบอกมี เอ็ม 79 ด้วย  แต่ไม่พบร่องรอยกระสุนที่ยิงสวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปสะพานวันชาติ  โดยอาวุธเอ็ม 67 คาดว่าน่าจะขว้างมาจากบ้านไม้โบราณที่มาจากทางเข้าโรงเรียนสตรีวิทยา  ซึ่งทั้ง 2 ลูกทำให้เจ้าหน้าที่นาย 4 ราย รวมพล.อ.ร่มเกล้า  ธุวธรรม เสียชีวิตด้วย ส่วนที่มีการรายงานว่าพล.อ.ร่มเกล้า  เสียชีวิตเพราะกระสุนปืน  จากการตรวจสอบไม่พบถูกยิงด้วยกระสุนปืน แต่เสียชีวิตเพราะระเบิดเอ็ม 67  และไม่พบว่าถูกโจมตีจากเจ้าหน้าที่ทหารด้วยกันแต่น่าเชื่อว่าเป็นฝีมือของคน ชุดดำ  
สำหรับปฏิบัติการณ์ของคนชุดดำมีหลักฐานพบว่าได้รับการสนับสนุนจากการ์ด นปช.  6 คน และพบชายชุดดำบางคนเป็นคนใกล้ชิดพล.ต.ขัตติยะ  สวัสดิผล หรือเสธ.แดง และพบว่า เสธ.แดง ไดปรากฏตัวบริเวณดังกล่าวในช่วงบ่าย  ทั้งก่อนและหลังเหตุการณ์รุนแรง
ส่วนภาพที่เห็นเหมือนมีซุ่มคนอยู่บริเวณกองสลากฯ จากกตรวจสอบกับตำรวจด้วยการจำลองเหตุการณ์พบว่าเป็นเงาต้นปาล์มไม่ใช่พลซุ่ม ยิง และพบว่าทั้งคนชุดดำและเจ้าหน้าที่ทหารต่างเข้าใจเป็นพลซุ่มยิงจึงต่างคน ต่างยิงไปยังจุดดังกล่าว โดยพบหลักฐานกระสุนอาก้ายิงไปจุดนั้น  อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ 10 เม.ย. คนพุ่งความสนใจไปที่แยกคอกวัวทั้งที่เหตุรุนแรงเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนบ่าย  ใกล้สะพานมัฆวานมีผู้เสียชีวิต 1 คน ด้วยกระสุนความเร็วสูง และหลังเหตุการณ์บริเวณราชดำเนินสงบลงก็มีคนถูกยิงเสียชีวิตในเขาดิน ด้วยกระสุนความเร็วสูงเช่นกัน โดยบริเวณดังกล่าวพบมีเจ้าหน้าที่พักอยู่ในเขาดินแต่ไม่รู้ทำไมถึงมีการยิง เกิดขึ้น 
นายสมชาย กล่าวต่อว่า  เหตุการณ์ที่มีการเคลื่อนกำลังทหารบนสะพานพระปิ่นเกล้ามาสมทบกับฝั่งพระนคร พบว่านายยศวริศ  ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ไปขัดขวางการเคลื่อนกำลังและยึดอาวุธทหารไป และมีเสธ.แดงปรากฏตัวบริเวณใกล้เคียง   และในวันที่ 10 เม.ย. มีอย่างน้อย 2 พื้นที่ที่ทหารถูกการ์ดนปช.ยึดอาวุธไป คือ สะพานพระปิ่นเกล้าถูกยึดปืนลูกซอง 35 กระบอก  ปืนทราโว้ 12 กระบอก กระสุนจริง 700 นัด และที่โรงเรียนสตรีวิทยาถูกยึดปืนเล็กยาว 9 กระบอก และอื่น ๆ  โดยอาวุธเหล่านี้เบื้องต้นทราบว่าได้กลับคืนมาแค่ปืนเอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอก ปืนทราโว่ 2 กระบอก เท่านั้น
สำหรับเหตุการณ์รุนแรงบริเวณแยกสีลมมีการปฏิบัติการหลายครั้งและพลเรือน เสียชีวิตจำนวนมาก  โดยพบมีการยิงมาจากพื้นที่ควบคุมของผู้ชุมนุม ที่สำคัญคือการเสียชีวิตตายของเสธ.แดง ในวันที่ 13 พ.ค. จากหลักฐานพบว่ามีการยิงจากอาคารสูงโดยรอบด้านขวา  เช่น โรงแรมดุสิตธานี สีลมพลาซ่า และบางอาคารในโรงพยาบาลจุฬาฯ  ซึ่งในช่วงนั้นศอฉ.ได้อนุญาตและจัดให้มีพลแม่นปืนและซุ่มยิงประจำอาคารต่าง ๆ แล้ว ดังนั้น มีข้อสังเกตว่านี่อาจเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการปิดล้อมที่จะมีในวันรุ่ง ขึ้น  และทันทีที่เสธ.แดง ถูกยิงมีนักข่าวต่างประเทศคนชุดดำวิ่งไปในเต๊นท์และหยิบปืนเล็กยาวออกมายิง ไปทางโรงพยาบาลจุฬาฯและโรงแรมดุสิตธานี เพราะเข้าใจว่าถูกยิงจากที่นั่น
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์รุนแรงพัฒนาในขั้นการปิดล้อมตั้งแต่วันที่ 13-18 พ.ค. โดยเกิดรุนแรงหลายพื้นที่ ช่วงนี้มีมีผู้เสียชีวิต 42 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ชุมนุม  นอกนั้นเป็นชาวบ้าน อาสาสมัครพยาบาล  พบมีการปฏิบัติการคนชุดดำในบริเวณที่มีเหตุรุนแรง  เช่น กระสุนที่ยิงบริเวณสีลม ศาลาแดง   โดยมีข้อน่าสังเกตคือมีกระสุนปืนลูกกล หรือแม็กนั่ม ที่ทำให้มีคนเสียชีวิตหลายราย ซึ่งกระสุนนี้เจ้าหน้าที่ไม่มีในการปฏิบัติการณ์ครั้งนี้ 
นายสมชาย กล่าวอีกว่า เหตุการณ์ในวันที่ 19 พ.ค. ซึ่งต้องการให้ผู้ชุมนุมกลับบ้านโดยวิธีการของเจ้าหน้าที่คือการเข้ากระชับ พื้นที่บริเวณสวนลุมพินี  โดยหวังว่าการกดดันจะทำให้ผู้ชุมนุมแยกย้ายและไปขึ้นรถที่เตรียมไว้ที่สนาม กีฬาแห่งชาติ  แต่ขณะที่เจ้าหน้าที่เคลื่อนไปมีความรุนแรงเกิดขึ้นและมีเสียชีวิต เช่นทางราชดำริขึ้นไปแยกสาระสิน เสียชีวิต 6 คน ทหาร 1  คน นักข่าวต่างประเทศ 1 คน  ที่เหลือเป็นผู้ชุมนุม  โดยครั้งนั้นทหารเสียชีวิตเพราะเอ็ม 79  
สำหรับเหตุการณ์ที่วัดปทุมฯ ก่อนจะเกิดเหตุมีผู้เสียชีวิต 6 ศพ หลายคนอาจไม่ทราบว่ามีเหตุการณ์ที่ทหารที่ประจำการบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสจะ เล็งปืนและยิงไปที่วัดนั้น  ได้มีการปะทะระหว่างทหารกับชายชุดดำที่พยายามเข้าไปอำนวยความสะดวกในการดับ เพลิงที่โรงหนังสยาม จนชายชุดดำหนีมาแยกเฉลิมเผ่า จนพบมีการยิงโต้กันกับชายชุดดำที่อยู่ใต้สกายวอร์กกับเจ้าหน้าที่บนรถไฟฟ้า สยาม และมีพยานว่าชายชุดดำวิงเลียบกำแพงวัดปทุมฯไป
ส่วนที่มีการตั้งคำถามในวัดปทุมฯมีการซ่องสุมชายชุดดำหรือไม่  มีการยิงจากในวัดมาที่บีทีเอสหรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า  พบว่ามีรอยแตกบนอาคารที่สถานีสยามแต่ไม่ทราบเป็นรอยกระสุนหรือไม่ เพราะอยู่ที่สูง พฐ.จึงไม่ได้พิสูจน์ แต่หากเป็นรอยกระสุนจริงแสดงว่ามีการยิงจากในวัดและหน้าวัดจริง  ก่อนหน้านี้มีคนพบการ์ดนปช.อยู่ใน-หน้าวัด  และเคยมีการพบอาวุธเอ็ม 16 ในวัด ซึ่งพบว่าเป็นกระบอกที่ผู้ชุมนุมยึดไปจากทหารเมื่อ 14 พ.ค.
สำหรับเหตุไฟไหม้พบไฟเริ่มต้นจากห้างเซนก่อนลุกลามไปห้างเซ็นทรัลเวิล์ด ไม่ได้ไหม้จากห้างเซ็นทรัลเวิล์ด  ซึ่งไม่ปรากฏว่าช่วงนั้นมีทหารไปอยู่ในที่เกิดเหตุ  และมีเพียงกลุ่มผู้ชุมนุมเท่านั้น
นายสมชาย กล่าวว่า  มีการแต่งกายของชายชุดดำจริง ใช้อาวุธโจมตีเจ้าหน้าที่อยู่ สิ่งนี้ต้องยอมรับ ประกอบกับการก่อวินาศกรรมทั้งก่อนและระหว่างการชุมนุมหลายสิบจุด  ขณะนี้ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ ยกเว้นคนยิงกระทรวงกลาโหม ปัญหาคือชายชุดดำที่มีอาวุธเหล่านี้มีความเกี่ยวพันกับใคร  เพราะพบว่าหลายคนในชุดดำมีความใกล้ชิดกับเสธ.แดง และปฏิบัติการณ์ของชุดดำได้รับความร่วมมือจากการ์ดนปช. แต่จะใกล้ชิดผู้นำและแกนนำนปช.หรือไม่  คอป.ไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่หลายเหตุการณ์ปฏิบัติการณ์มาจากพื้นที่ควบคุมนปช. เช่น พระบรมรูป ร. 6 และสวนลุมพินี และประตูน้ำ ส่วนเรื่องจำนวนชายชุดดำ  และเป็นบุคคลใด สรุปได้ยาก 
นายสมชาย กล่าวต่อว่า  เรื่องการชุมนุมเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ตามระบอบประชาธิปไตย แต่พบผู้จัดชุมนุมไม่จัดให้การชุมนุมตามสิทธิกฎหมายคือต้องประสานเจ้า หน้าที่เพื่อให้ปราศจากอาวุธ สงบ และไม่ใช้สิทธิอันสมบูรณ์  เจ้าหน้าที่สามารถจัดการได้พอสมควรแก่เหตุ  แต่กลับพบผู้ชุมนุมบางคนมีลักษณะใช้ความรุนแรงต่อเจ้าหน้าที่  การปราศรัยบนเวทีมีลักษณะส่งเสริมความรุนแรง  คอป.คิดว่าแกนนำนปช. ยังไม่ใช้ความพยายามอย่างเพียงพอในการป้องกันเหตุรุนแรง เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าพื้นที่เพื่อบังคับใช้กฎหมายได้ ซ้ำต้องปลดอาวุธก่อนเข้า ในส่วนตำรวจ  แต่ทหารเข้าไม่ได้เลย แถมนปช.สนับสนุนการกระทำชุดดำด้วย  อย่างไรก็ตาม  เป็นเรื่องไม่เหมาะสมที่รัฐจะใช้ทหารมาควบคุมฝูงชน  หรือใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งทำให้ตอกย้ำความกลัวของผู้ชุมนุม
นายสมชาย กล่าวว่า ในส่วนของศอฉ.ก็พบความบกพร่อง โดยเฉพาะที่ไม่มีระบบการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ที่ออกไปปฏิบัติการนอกจากได้รับ รายงาน  ไม่มีการประเมินผลว่าคำสั่งปฏิบัติการจะมีผลอย่างไรกับผู้ชุมนุม  ผู้บริหารบางคนยังเข้าใจใช้กระสุนจริง กระสุนซ้อม ทั้งที่จริงมีการใช้กระสุนจริงด้วย  การใช้อาวุธที่จะละเมิดต่อชีวิตจำเป็นต้องใช้ระวังเป็นพิเศษเช่นการยิงผู้ ที่ไม่มีอาวุธอาจทำให้บาดเจ็บ ล้มตายได้  เคยมีคำพิพากษาเหตุรุนแรงเมื่อปี 2552 ว่าการใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่แม้จะถูกยั่วยุโจมตีแต่ถ้าได้ใช้อาวุธกับคนไม่ มีอาวุธในมือกองทัพต้องรับผิดชอบ  มีการวางพลแม่นปืน  แต่ไม่พบชายชุดดำยิงลงมาจากที่สูง ยกเว้นแค่กรณีโรงเรียนสตรีวิทยา   สำหรับกระสุนที่ถูกเบิกไปใช้ในปฏิบัติการณ์ครั้งนี้มากที่สุดคือ กระสุนปืนลูกซอง(เบอร์ 12) คิดเป็นร้อยละ 53 รองลงมาคือกระสุนปืนเล็กยาว และกระสุนขนาด.308 เป็นต้น
สำหรับเนื้อหาในรายงานฉบับสมบูรณ์แบ่งออกเป็น 5 ส่วน ประกอบด้วย ส่วนที่ 1.ข้อมูลเกี่ยวข้องการตั้งคณะกรรมการคอป.  ส่วนที่ 2 สรุปเหตุการณ์ความรุนแรงและการละเมิดสิทธิที่เกิดขึ้น 3. สาเหตุและรากเหง้า 4.เหยื่อ และการเยียวยาและฟื้นฟูเหยื่อ และ 5. ข้อเสนอแนะและแนวทางปฏิบัติตามข้อเสนอของคอป.  โดยในส่วนข้อเสนอแนะคอป.ได้จัดทำข้อเสนอแนะแบ่งออกเป็นหลายฝ่ายทั้งข้อเสนอ แนะต่อรัฐ  องค์กรสื่อ กองทัพและทหาร  การชุมนุมและสิทธิผู้ชุมนุม  บทบาทและการคุ้มครองของหน่วยแพทย์ พยาบาล  หน่วยบรรเทาสาธารณภัย  และการนำหลักความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน  โดยข้อเสนอที่น่าสนใจคือกรณีกองทัพซึ่งคอป.เรียกร้องให้กองทัพและผู้นำกอง ทัพวางตัวเป็นกลาง งดเว้นการก่อรัฐประหาร  ไม่ยุ่งเกี่ยวทางการเมือง  นอกจากนี้เห็นว่าการใช้กำลังทหารแก้ไขปัญหาความขัดแย้งมักนำไปสู่ความขัด แย้ง คอป.จึงเห็นว่ารัฐต้องไม่ใช้กำลังทหารในการเข้าไปแก้ไขความขัดแย้งของบ้าน เมืองและการชุมนุมของประชาชนโดยเด็ดขาด เพราะลักษณะของกองทัพไม่เหมาะที่จะควบคุมฝูงชน
ส่วนข้อเสนอต่อรัฐ คอป.เน้นว่าควรให้มีมาตรการสนับสนุนการทำงานของสื่ออย่างอิสระ  ส่วนข้อเสนอต่อสื่อคอป.เรียกร้องให้ทุกฝ่ายหยุดใช้สื่อเพื่อปลุกระดมมวลชน ให้เกิดความเกลียดชัด  ความรุนแรง  เคร่งครัดในจรรยาบรรณ  ขณะที่ข้อเสนอต่อการชุมนุม ตอนหนึ่งเห็นว่าในกรณีที่พบว่ามีบุคคลติดอาวุธแอบแฝงอยู่กับผู้ชุมนุมเพื่อ ใช้ความรุนแรง รัฐอาจจัดให้มีเจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นการเฉพาะเพื่อ ให้ปฏิบัติการกับเป้าหมายได้อย่างแม่นยำเพียงเท่าที่จำเป็น  แต่หากประเมินแล้วว่าปฏิบัติการอาจเป็นอันตรายต่อบุคคลอื่น ต้องหยุดปฏิบัติการทันที 
สำหรับข้อเสนอแนวทางดำเนินการในระยะเปลี่ยนผ่านคอป. เห็นควรให้มีการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดทุกคนทุกฝ่ายโดยไม่เลือก ปฏิบัติ  ต้องเยียวยาและฟื้นฟูเหยื่อที่รับผลกระทบไม่เฉพาะเรื่องเงินแต่รวบถึงสภาพ จิตใจ เกียรติยศ และเยียวยาไปถึงกลุ่มผู้ที่ถูกตั้งข้อหารุนแรงเกินสมควรและไม่ได้รับการ ปล่อยตัวชั่วคราว  ตลอดจนการสร้างสัญลักษณ์แห่งความทรงจำให้แก่สาธารณชนเพื่อเตือนใจ  การแสดงความรับผิดชอบด้วยการขอโทษ และการนิรโทษกรรม ซึ่งต้องอาศัยจังหวะเวลาที่เหมาะสม โดยจำเป็นต้องกำหนดขอบเขตเงื่อนไขความผิดให้ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง โดยพิจารณาแยกแยะการทำผิดของบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยกระบวนการที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่การนิรโทษกรรมตัวเอง  หรือนิรโทษกรรมแบบครอบคลุมเป็นการทั่วไป โดยปราศจากเงื่อนไข หรือลบล้างความผิด http://www.dailynews.co.th/crime/155734

วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

พี่จ๋าย จำรัส เศวตาพร ไว้อาลัยแด่ป๋าโอ ไก่ย่าง นปช.16กย.55

: คุณหนุ่ม สันติสุข พรหมศิริ ร่วมถ่ายรูปกับ โอ ไก่ย่าง น.ป.ช. เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่พรุ่งนี้จะมีการทำพิทีฌาปนกิจศพ เพื่อนโอ ไก่ย่าง น.ป.ช. ______

twitter

ห้องแชทKonthaiuk