วันนี้ (17 ก.ย.) ที่โรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว ฟอร์จูน รัชดา นายคณิต ณ
นคร
ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอ
ป.) พร้อมกรรมการคอป.
แถลงข่าวสรุปผลรายงานคอป.ฉบับสมบูรณ์หลังครบวาระการทำงาน 2 ปี
โดยเนื้อหาในรายงานฉบับสมบูรณ์มีจำนวนเกือบ 300 หน้า
พร้อมภาคผนวกเกี่ยวข้องกับข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่ผ่านมาของคอป. โดยนายคณิต
กล่าวว่า การดำเนินงานของคอป.ได้สิ้นสุดแล้วตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค.
ที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการจึงได้มีการสรุปผลการดำเนินงานทั้งหมด
โดยในรายงานมีเรื่องสำคัญคือข้อเสนอแนะหลายอย่าง ในการสร้างความปรองดองที่
นอกจากนี้คอป.ยังทำข้อแนวทางการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของคอป. ระยะเร่งด่วน
ระยะกลาง และระยะยาวอีกด้วย
สิ่งที่ทางคอป.ทำทั้งหมดนั้นได้ทุ่มเทเพื่อให้เกิดความจริงมากที่สุด
โดยคณะกรรมการคอป.ได้ตระหนักถึงเรื่องการใช้เงินภาษีประชาชนอย่างคุ้มค่าที่
สุด และอยากให้สื่อเผยแพร่สรุปผลงานของคอป.ต่อสาธารณะชนมากที่สุด
อย่างไรก็ตามการตรวจสอบของ คอป. คงจะยังไม่สิ้นสุดเพียงแค่นี้
โดยจะตรวจสอบสิ่งที่เกี่ยวข้องต่อเหตุการณ์ความขัดแย้งรุนแรงต่างๆเพื่อไม่
ให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นอีกในอนาคต
นอกจากนี้เราได้ลงมติจะทำหนังสือเผยแพร่หลักการดำเนินการของคอป.
เป็นพ็อคเก็ตบุ๊คฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
และจะแปลเอกสารรายงานฉบับสมบูรณ์เป็นภาษาอังกฤษ
จัดทำชุดผลงานเป็นบุ๊คเซ็ตเพื่อเผยแพร่ผลงานต่างๆ
ทั้งรายงานฉบับสมบูรณ์และรายงานวิจัยต่างๆ
ทำดิวิทัศน์เสนอผลงานแบบเป็นตอนๆต่อสาธารณะชน
ทำโครงการเกี่ยวกับการจัดการระบบฐานข้อมูล
เพื่อเก็บไว้ศึกษาเป็นประวัติศาสตร์
สุดท้ายนี้ตนเห็นว่าสังคมเราต้องอยู่ด้วยความหวัง
สิ่งที่คอป.คาดหวังคือสิ่งที่ทุกคนในสังคมต้องการก็คือความเป็นจริง
เพื่อที่จะเป็นการพัฒนาประชาธิปไตยไปในทิศทางให้ดี
ด้านนายสมชาย หอมลออ กรรมการคอป. กล่าวว่า
ขณะนี้สังคมมีความจริงกันคนละชุด ดังนั้น
หวังว่ารายงานคอป.จะทำให้เกิดข้อเท็จจริงที่เข้าใจตรงกันมากขึ้น
โดยรายงานดังกล่าวนอกจากนำเสนอต่อรัฐบาลแล้วจะเปิดเผยต่อสาธารณด้วย
อย่างไรก็ตาม
การค้นหาข้อเท็จจริงของคอป.ไม่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนสอบสวนที่มุ่งหาตัวผู้
กระทำความผิด แต่ต้องการสืบหาข้อเท็จจริงเหตุการณ์รุนแรงกว่า 10
กรณีที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนเม.ย.-พ.คง 2553
เริ่มตั้งแต่เหตุการณ์ที่สถานีไทยคม เหตุการณ์ 10 เม.ย.53 เหตุการณ์ 6 ศพ
วัดปทุมวนาราม ไปจนถึงการเผาห้างเซ็นทรัล เวิร์ล
และสถานที่ราชการในต่างจังหวัด
โดยพบว่าคอป.มีอุปสรรคในการทำงานหลายด้านเนื่องจากไม่มีอำนาจในการออกหมาย
เรียกบุคคลเข้าให้ข้อมูล และไม่มีอำนาจในการขอเอกสารต่าง ๆ
ต้องอาศัยความร่วมมือเป็นหลักที่สำคัญ
ในการรวบรวมข้อมูลยังพบว่าผู้ต้องหาระมัดระวังตัวในการให้ข้อมูลเพราะเกรง
ว่าจะไปกระทบกับคดีที่ถูกดำเนินการอยู่ อย่างไรก็ตาม
รายงานของคอป.อาจไม่ใช่ความจริงที่สุด หรือเป็นความจริงสุดท้าย
แต่ขอให้ถือเป็นข้อเท็จจริงที่มาจากการรวบรวมข้อมูล ณ ปัจจุบัน
สำหรับปมปัญหาความขัดแย้งคอป.พบว่าสืบเนื่องมาตั้งแต่การใช้อำนาจสมัยรัฐ
บาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ให้อำนาจรัฐบาลไว้มากเกินไป ปมซุกหุ้น
การรัฐประหารปี 2549 นอกจากนี้ยังพบความรุนแรงในปี 2553
มีเหตุมาจากความไม่ไว้วางใจต่อกันระหว่างรัฐบาลกับประชาชน เช่น
เหตุการณ์ที่พัทยา และเมษาเลือด
ทั้งนี้รายงานดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการตรวจสอบ
เพราะข้อเท็จจริงฉบับเต็มยังมีอีกจำนวนมากที่จะนำเสนอต่อไป
ในส่วนการสรุปผลกระทบที่เกิดจากความรุนแรงในช่วงเดือนเม.ย. – พ.ค.2553
พบมีผู้เสียชีวิต 92 คน แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร 8 คน ตำรวจ 2 คน
ที่เหลือเป็นผู้ชุมนุม ทั้งนี้ไม่รวมคดีการเสียชีวิต 3 ศพ
ที่สมานเมตตาแมนชั่น โดยทั้ง 92 คน มีหลักฐานว่าเสียชีวิตเพราะชายชุดดำ 9
คน แยกเป็นทหาร 6 คน ตำรวจ 2 คน และประชาชนกลุ่มรักษ์สีลม 1 คน
จุดเริ่มต้นเหตุการณ์เริ่มส่อเค้ารุนแรงตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย. 2553
ที่สถานีดาวเทียมไทยคมซึ่งรัฐพยายามจะระงับการออกอากาศ
โดยครั้งนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำอาวุธสงครามไปด้วยแต่เก็บอาวุธและกระสุนแยกกัน
ไว้ในรถเสบียง แต่ผู้ชุมนุมได้ยึดมาและแถลงต่อสื่อ
ทำให้กลายเป็นประเด็นว่าเจ้าหน้าที่ทหารเตรียมอาวุธปราบผู้ชุมนุม
กลายเป็นชนวนรุนแรงต่อมา
ส่วนเหตุการณ์ที่นำไปสู่ความสูญเสียมากสุดคือที่บริเวณแยกคอกวัว
และถนนดินสอ เมื่อวันที่ 10 เม.ย. มีผู้เสียชีวิต 26 คน เป็นพลเรือน 21 คน
รวมสื่อต่างประเทศ 1 คน ทหาร 5 คน บาดเจ็บรวมกว่า 864 คน
ในจำนวนนี้เป็นทหารกว่า 300 คน และที่สำคัญคอป.ยังพบหลักฐานคนชุดดำ
คือบุคคลที่ไม่ทราบฝ่ายแน่ชัด ไม่ประกาศตัวชัด อาจไม่ต้องแต่งชุดดำ
แต่ใช้อาวุธสงครามโจมตีเจ้าหน้าที่ทั้งก่อนและหลังวันที่ 10 เม.ย.
โดยตรวจสอบกับกองพิสูจน์หลักฐานของตำรวจพบการใช้ เอ็ม 79
และปืนเล็กยาวยิงใส่เจ้าหน้าที่ด้วย
ซึ่งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการแถบถนนตะนาวและข้าวสาร
ทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิต 1 ราย ส่วนที่ถนนดินสอ โรงเรียนสตรีวิทยา
และอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยถูกคนชุดดำโจมตี
ทำให้หลังจากนั้นพบว่ามีร่องรอยกระสุนที่มีวิถียิงจากจุดที่มีเจ้าหน้าที่
ประจำการอยู่ เช่น จากทิศทางวงเวียนวัดบวรฯ มาแยกคอกวัว
จากสะพานวันชาติมาวงเวียนอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งพบมีร่องรองจำนวนมาก
และพบกระสุนที่ยิงสวนกลับไปแต่ไม่มากเท่าไหร่
ส่วนที่ถนนดินสอพบร่องรอยระเบิกเอ็ม 67 แต่ผู้เชี่ยวชาญบางรายบอกมี เอ็ม
79 ด้วย
แต่ไม่พบร่องรอยกระสุนที่ยิงสวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปสะพานวันชาติ
โดยอาวุธเอ็ม 67
คาดว่าน่าจะขว้างมาจากบ้านไม้โบราณที่มาจากทางเข้าโรงเรียนสตรีวิทยา
ซึ่งทั้ง 2 ลูกทำให้เจ้าหน้าที่นาย 4 ราย รวมพล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม
เสียชีวิตด้วย ส่วนที่มีการรายงานว่าพล.อ.ร่มเกล้า
เสียชีวิตเพราะกระสุนปืน จากการตรวจสอบไม่พบถูกยิงด้วยกระสุนปืน
แต่เสียชีวิตเพราะระเบิดเอ็ม 67
และไม่พบว่าถูกโจมตีจากเจ้าหน้าที่ทหารด้วยกันแต่น่าเชื่อว่าเป็นฝีมือของคน
ชุดดำ
สำหรับปฏิบัติการณ์ของคนชุดดำมีหลักฐานพบว่าได้รับการสนับสนุนจากการ์ด
นปช. 6 คน และพบชายชุดดำบางคนเป็นคนใกล้ชิดพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล
หรือเสธ.แดง และพบว่า เสธ.แดง ไดปรากฏตัวบริเวณดังกล่าวในช่วงบ่าย
ทั้งก่อนและหลังเหตุการณ์รุนแรง
ส่วนภาพที่เห็นเหมือนมีซุ่มคนอยู่บริเวณกองสลากฯ
จากกตรวจสอบกับตำรวจด้วยการจำลองเหตุการณ์พบว่าเป็นเงาต้นปาล์มไม่ใช่พลซุ่ม
ยิง
และพบว่าทั้งคนชุดดำและเจ้าหน้าที่ทหารต่างเข้าใจเป็นพลซุ่มยิงจึงต่างคน
ต่างยิงไปยังจุดดังกล่าว โดยพบหลักฐานกระสุนอาก้ายิงไปจุดนั้น
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ 10 เม.ย.
คนพุ่งความสนใจไปที่แยกคอกวัวทั้งที่เหตุรุนแรงเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนบ่าย
ใกล้สะพานมัฆวานมีผู้เสียชีวิต 1 คน ด้วยกระสุนความเร็วสูง
และหลังเหตุการณ์บริเวณราชดำเนินสงบลงก็มีคนถูกยิงเสียชีวิตในเขาดิน
ด้วยกระสุนความเร็วสูงเช่นกัน
โดยบริเวณดังกล่าวพบมีเจ้าหน้าที่พักอยู่ในเขาดินแต่ไม่รู้ทำไมถึงมีการยิง
เกิดขึ้น
นายสมชาย กล่าวต่อว่า
เหตุการณ์ที่มีการเคลื่อนกำลังทหารบนสะพานพระปิ่นเกล้ามาสมทบกับฝั่งพระนคร
พบว่านายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก
ไปขัดขวางการเคลื่อนกำลังและยึดอาวุธทหารไป
และมีเสธ.แดงปรากฏตัวบริเวณใกล้เคียง และในวันที่ 10 เม.ย. มีอย่างน้อย 2
พื้นที่ที่ทหารถูกการ์ดนปช.ยึดอาวุธไป คือ
สะพานพระปิ่นเกล้าถูกยึดปืนลูกซอง 35 กระบอก ปืนทราโว้ 12 กระบอก
กระสุนจริง 700 นัด และที่โรงเรียนสตรีวิทยาถูกยึดปืนเล็กยาว 9 กระบอก
และอื่น ๆ โดยอาวุธเหล่านี้เบื้องต้นทราบว่าได้กลับคืนมาแค่ปืนเอ็ม 16
จำนวน 1 กระบอก ปืนทราโว่ 2 กระบอก เท่านั้น
สำหรับเหตุการณ์รุนแรงบริเวณแยกสีลมมีการปฏิบัติการหลายครั้งและพลเรือน
เสียชีวิตจำนวนมาก โดยพบมีการยิงมาจากพื้นที่ควบคุมของผู้ชุมนุม
ที่สำคัญคือการเสียชีวิตตายของเสธ.แดง ในวันที่ 13 พ.ค.
จากหลักฐานพบว่ามีการยิงจากอาคารสูงโดยรอบด้านขวา เช่น โรงแรมดุสิตธานี
สีลมพลาซ่า และบางอาคารในโรงพยาบาลจุฬาฯ
ซึ่งในช่วงนั้นศอฉ.ได้อนุญาตและจัดให้มีพลแม่นปืนและซุ่มยิงประจำอาคารต่าง ๆ
แล้ว ดังนั้น
มีข้อสังเกตว่านี่อาจเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการปิดล้อมที่จะมีในวันรุ่ง
ขึ้น และทันทีที่เสธ.แดง
ถูกยิงมีนักข่าวต่างประเทศคนชุดดำวิ่งไปในเต๊นท์และหยิบปืนเล็กยาวออกมายิง
ไปทางโรงพยาบาลจุฬาฯและโรงแรมดุสิตธานี เพราะเข้าใจว่าถูกยิงจากที่นั่น
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์รุนแรงพัฒนาในขั้นการปิดล้อมตั้งแต่วันที่ 13-18
พ.ค. โดยเกิดรุนแรงหลายพื้นที่ ช่วงนี้มีมีผู้เสียชีวิต 42 คน
ส่วนใหญ่เป็นผู้ชุมนุม นอกนั้นเป็นชาวบ้าน อาสาสมัครพยาบาล
พบมีการปฏิบัติการคนชุดดำในบริเวณที่มีเหตุรุนแรง เช่น
กระสุนที่ยิงบริเวณสีลม ศาลาแดง โดยมีข้อน่าสังเกตคือมีกระสุนปืนลูกกล
หรือแม็กนั่ม ที่ทำให้มีคนเสียชีวิตหลายราย
ซึ่งกระสุนนี้เจ้าหน้าที่ไม่มีในการปฏิบัติการณ์ครั้งนี้
นายสมชาย กล่าวอีกว่า เหตุการณ์ในวันที่ 19 พ.ค.
ซึ่งต้องการให้ผู้ชุมนุมกลับบ้านโดยวิธีการของเจ้าหน้าที่คือการเข้ากระชับ
พื้นที่บริเวณสวนลุมพินี
โดยหวังว่าการกดดันจะทำให้ผู้ชุมนุมแยกย้ายและไปขึ้นรถที่เตรียมไว้ที่สนาม
กีฬาแห่งชาติ
แต่ขณะที่เจ้าหน้าที่เคลื่อนไปมีความรุนแรงเกิดขึ้นและมีเสียชีวิต
เช่นทางราชดำริขึ้นไปแยกสาระสิน เสียชีวิต 6 คน ทหาร 1 คน
นักข่าวต่างประเทศ 1 คน ที่เหลือเป็นผู้ชุมนุม
โดยครั้งนั้นทหารเสียชีวิตเพราะเอ็ม 79
สำหรับเหตุการณ์ที่วัดปทุมฯ ก่อนจะเกิดเหตุมีผู้เสียชีวิต 6 ศพ
หลายคนอาจไม่ทราบว่ามีเหตุการณ์ที่ทหารที่ประจำการบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสจะ
เล็งปืนและยิงไปที่วัดนั้น
ได้มีการปะทะระหว่างทหารกับชายชุดดำที่พยายามเข้าไปอำนวยความสะดวกในการดับ
เพลิงที่โรงหนังสยาม จนชายชุดดำหนีมาแยกเฉลิมเผ่า
จนพบมีการยิงโต้กันกับชายชุดดำที่อยู่ใต้สกายวอร์กกับเจ้าหน้าที่บนรถไฟฟ้า
สยาม และมีพยานว่าชายชุดดำวิงเลียบกำแพงวัดปทุมฯไป
ส่วนที่มีการตั้งคำถามในวัดปทุมฯมีการซ่องสุมชายชุดดำหรือไม่
มีการยิงจากในวัดมาที่บีทีเอสหรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า
พบว่ามีรอยแตกบนอาคารที่สถานีสยามแต่ไม่ทราบเป็นรอยกระสุนหรือไม่
เพราะอยู่ที่สูง พฐ.จึงไม่ได้พิสูจน์
แต่หากเป็นรอยกระสุนจริงแสดงว่ามีการยิงจากในวัดและหน้าวัดจริง
ก่อนหน้านี้มีคนพบการ์ดนปช.อยู่ใน-หน้าวัด และเคยมีการพบอาวุธเอ็ม 16
ในวัด ซึ่งพบว่าเป็นกระบอกที่ผู้ชุมนุมยึดไปจากทหารเมื่อ 14 พ.ค.
สำหรับเหตุไฟไหม้พบไฟเริ่มต้นจากห้างเซนก่อนลุกลามไปห้างเซ็นทรัลเวิล์ด
ไม่ได้ไหม้จากห้างเซ็นทรัลเวิล์ด
ซึ่งไม่ปรากฏว่าช่วงนั้นมีทหารไปอยู่ในที่เกิดเหตุ
และมีเพียงกลุ่มผู้ชุมนุมเท่านั้น
นายสมชาย กล่าวว่า มีการแต่งกายของชายชุดดำจริง
ใช้อาวุธโจมตีเจ้าหน้าที่อยู่ สิ่งนี้ต้องยอมรับ
ประกอบกับการก่อวินาศกรรมทั้งก่อนและระหว่างการชุมนุมหลายสิบจุด
ขณะนี้ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ ยกเว้นคนยิงกระทรวงกลาโหม
ปัญหาคือชายชุดดำที่มีอาวุธเหล่านี้มีความเกี่ยวพันกับใคร
เพราะพบว่าหลายคนในชุดดำมีความใกล้ชิดกับเสธ.แดง
และปฏิบัติการณ์ของชุดดำได้รับความร่วมมือจากการ์ดนปช.
แต่จะใกล้ชิดผู้นำและแกนนำนปช.หรือไม่ คอป.ไม่มีหลักฐานยืนยัน
แต่หลายเหตุการณ์ปฏิบัติการณ์มาจากพื้นที่ควบคุมนปช. เช่น พระบรมรูป ร. 6
และสวนลุมพินี และประตูน้ำ ส่วนเรื่องจำนวนชายชุดดำ และเป็นบุคคลใด
สรุปได้ยาก
นายสมชาย กล่าวต่อว่า
เรื่องการชุมนุมเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ตามระบอบประชาธิปไตย
แต่พบผู้จัดชุมนุมไม่จัดให้การชุมนุมตามสิทธิกฎหมายคือต้องประสานเจ้า
หน้าที่เพื่อให้ปราศจากอาวุธ สงบ และไม่ใช้สิทธิอันสมบูรณ์
เจ้าหน้าที่สามารถจัดการได้พอสมควรแก่เหตุ
แต่กลับพบผู้ชุมนุมบางคนมีลักษณะใช้ความรุนแรงต่อเจ้าหน้าที่
การปราศรัยบนเวทีมีลักษณะส่งเสริมความรุนแรง คอป.คิดว่าแกนนำนปช.
ยังไม่ใช้ความพยายามอย่างเพียงพอในการป้องกันเหตุรุนแรง
เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าพื้นที่เพื่อบังคับใช้กฎหมายได้
ซ้ำต้องปลดอาวุธก่อนเข้า ในส่วนตำรวจ แต่ทหารเข้าไม่ได้เลย
แถมนปช.สนับสนุนการกระทำชุดดำด้วย อย่างไรก็ตาม
เป็นเรื่องไม่เหมาะสมที่รัฐจะใช้ทหารมาควบคุมฝูงชน
หรือใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งทำให้ตอกย้ำความกลัวของผู้ชุมนุม
นายสมชาย กล่าวว่า ในส่วนของศอฉ.ก็พบความบกพร่อง
โดยเฉพาะที่ไม่มีระบบการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ที่ออกไปปฏิบัติการนอกจากได้รับ
รายงาน ไม่มีการประเมินผลว่าคำสั่งปฏิบัติการจะมีผลอย่างไรกับผู้ชุมนุม
ผู้บริหารบางคนยังเข้าใจใช้กระสุนจริง กระสุนซ้อม
ทั้งที่จริงมีการใช้กระสุนจริงด้วย
การใช้อาวุธที่จะละเมิดต่อชีวิตจำเป็นต้องใช้ระวังเป็นพิเศษเช่นการยิงผู้
ที่ไม่มีอาวุธอาจทำให้บาดเจ็บ ล้มตายได้ เคยมีคำพิพากษาเหตุรุนแรงเมื่อปี
2552
ว่าการใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่แม้จะถูกยั่วยุโจมตีแต่ถ้าได้ใช้อาวุธกับคนไม่
มีอาวุธในมือกองทัพต้องรับผิดชอบ มีการวางพลแม่นปืน
แต่ไม่พบชายชุดดำยิงลงมาจากที่สูง ยกเว้นแค่กรณีโรงเรียนสตรีวิทยา
สำหรับกระสุนที่ถูกเบิกไปใช้ในปฏิบัติการณ์ครั้งนี้มากที่สุดคือ
กระสุนปืนลูกซอง(เบอร์ 12) คิดเป็นร้อยละ 53 รองลงมาคือกระสุนปืนเล็กยาว
และกระสุนขนาด.308 เป็นต้น
สำหรับเนื้อหาในรายงานฉบับสมบูรณ์แบ่งออกเป็น 5 ส่วน ประกอบด้วย ส่วนที่
1.ข้อมูลเกี่ยวข้องการตั้งคณะกรรมการคอป. ส่วนที่ 2
สรุปเหตุการณ์ความรุนแรงและการละเมิดสิทธิที่เกิดขึ้น 3. สาเหตุและรากเหง้า
4.เหยื่อ และการเยียวยาและฟื้นฟูเหยื่อ และ 5.
ข้อเสนอแนะและแนวทางปฏิบัติตามข้อเสนอของคอป.
โดยในส่วนข้อเสนอแนะคอป.ได้จัดทำข้อเสนอแนะแบ่งออกเป็นหลายฝ่ายทั้งข้อเสนอ
แนะต่อรัฐ องค์กรสื่อ กองทัพและทหาร การชุมนุมและสิทธิผู้ชุมนุม
บทบาทและการคุ้มครองของหน่วยแพทย์ พยาบาล หน่วยบรรเทาสาธารณภัย
และการนำหลักความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน
โดยข้อเสนอที่น่าสนใจคือกรณีกองทัพซึ่งคอป.เรียกร้องให้กองทัพและผู้นำกอง
ทัพวางตัวเป็นกลาง งดเว้นการก่อรัฐประหาร ไม่ยุ่งเกี่ยวทางการเมือง
นอกจากนี้เห็นว่าการใช้กำลังทหารแก้ไขปัญหาความขัดแย้งมักนำไปสู่ความขัด
แย้ง
คอป.จึงเห็นว่ารัฐต้องไม่ใช้กำลังทหารในการเข้าไปแก้ไขความขัดแย้งของบ้าน
เมืองและการชุมนุมของประชาชนโดยเด็ดขาด
เพราะลักษณะของกองทัพไม่เหมาะที่จะควบคุมฝูงชน
ส่วนข้อเสนอต่อรัฐ
คอป.เน้นว่าควรให้มีมาตรการสนับสนุนการทำงานของสื่ออย่างอิสระ
ส่วนข้อเสนอต่อสื่อคอป.เรียกร้องให้ทุกฝ่ายหยุดใช้สื่อเพื่อปลุกระดมมวลชน
ให้เกิดความเกลียดชัด ความรุนแรง เคร่งครัดในจรรยาบรรณ
ขณะที่ข้อเสนอต่อการชุมนุม
ตอนหนึ่งเห็นว่าในกรณีที่พบว่ามีบุคคลติดอาวุธแอบแฝงอยู่กับผู้ชุมนุมเพื่อ
ใช้ความรุนแรง
รัฐอาจจัดให้มีเจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นการเฉพาะเพื่อ
ให้ปฏิบัติการกับเป้าหมายได้อย่างแม่นยำเพียงเท่าที่จำเป็น
แต่หากประเมินแล้วว่าปฏิบัติการอาจเป็นอันตรายต่อบุคคลอื่น
ต้องหยุดปฏิบัติการทันที
สำหรับข้อเสนอแนวทางดำเนินการในระยะเปลี่ยนผ่านคอป.
เห็นควรให้มีการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดทุกคนทุกฝ่ายโดยไม่เลือก
ปฏิบัติ
ต้องเยียวยาและฟื้นฟูเหยื่อที่รับผลกระทบไม่เฉพาะเรื่องเงินแต่รวบถึงสภาพ
จิตใจ เกียรติยศ
และเยียวยาไปถึงกลุ่มผู้ที่ถูกตั้งข้อหารุนแรงเกินสมควรและไม่ได้รับการ
ปล่อยตัวชั่วคราว
ตลอดจนการสร้างสัญลักษณ์แห่งความทรงจำให้แก่สาธารณชนเพื่อเตือนใจ
การแสดงความรับผิดชอบด้วยการขอโทษ และการนิรโทษกรรม
ซึ่งต้องอาศัยจังหวะเวลาที่เหมาะสม
โดยจำเป็นต้องกำหนดขอบเขตเงื่อนไขความผิดให้ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง
โดยพิจารณาแยกแยะการทำผิดของบุคคลที่เกี่ยวข้อง
โดยกระบวนการที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่การนิรโทษกรรมตัวเอง
หรือนิรโทษกรรมแบบครอบคลุมเป็นการทั่วไป โดยปราศจากเงื่อนไข
หรือลบล้างความผิด http://www.dailynews.co.th/crime/155734
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น