PEACE TV LIVE

วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ภาพสุดท้ายและการ์คอวยพรปีใหม่ของ คุณวันชัย ก่อนเสียชีวิต 27-12-12

ลายมือสุดท้ายก่อนลาจาก คำอวยพรปีใหม่ให้กับพี่น้องเสื้อแดง จากวีรชน วันชัย รักสงวนศิลป์ นักโทษการเมืองเสื้อแดงชาวอุดรธานี ผู้เสียชีวิตภายในเรือนจำ หลังจากถูกคุมขังมาสองปีกว่


รูปจาก https://www.facebook.com/cofspeed/photos_stream

นายวันชัย รักสงวนศิลป์ หมอลงความเห็นในใบมรณบัตรว่า ระบบหายใจและไหลเวียนโลหิตล้มเหลว


วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คลิปร่วมจุดเทียนดำ หน้าศาลอาญา ไว้อาลัยแก่คุณวันชัย 27ธค.55



ร่วมจุดเทียนดำ หน้าศาลอาญา แสดงความไว้อาลัยอีกหนึ่งชีวิตที่สูญเสีย วันชัย รักสงวนศิลป์ อายุ 30 ปี
นักโทษการเมืองผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ก่อการร้าย ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อปี 53
เสียชีวิตขณะพักหลังเล่นฟุตซอลภายในเรือนจำชั่วคราว หลักสี่ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2555

ขอบคุณPrainn Rakthai
●♥●▬▬▬▬▬▬๑۩۩๑▬▬▬▬▬●♥●

โดยTeam konthaiuk
http://www.konthaiuk.info/home.php
http://www.konthaiuk.com/home.php
http://www.konthaiuk.co.cc/home.php
http://konthaiuk.eu/home.php

●♥●▬▬▬▬▬▬๑۩۩๑▬▬▬▬▬●♥●


เปิดรายชื่อวัด สวดมนต์ข้ามปี 2556 ทั่วประเทศ

สวดมนต์ข้ามปี 2556
มหาเถรสมาคม สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ขอเชิญประชาชนร่วมสวดมนต์ข้ามปีเพื่อเป็นสิศิริมงคลแก่ชีวิต ณ วัดใกล้บ้านทั่วประเทศกว่า 30,000 แห่ง ในโครงการ “สวดมนต์ข้ามปีทำความดีส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ” ซึ่งจัดพิธี ตั้งแต่ 16.00 น.ถึงเที่ยงคืนของวันปีใหม่ 1 มกราคม 2556
ขณะที่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่าย เตรียมจัดกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี” เป็นครั้งที่ 3 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร เพื่อร่วมกันสร้างมหากุศลครั้งยิ่งใหญ่ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 31 ธันวาคม 2556 ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานครสนามหลวง และจังหวัดตัวแทนภาคทั้ง 4 ภาค ได้แก่ ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.ขอนแก่น,ภาคตะวันออก จ.ฉะเชิงเทรา และภาคใต้ จ.นครศรีธรรมราช รวมถึงวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ
รายชื่อวัดที่จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี 2556 ทั่วประเทศ
ภาคกลาง
สวดมนต์ข้ามปี 2556 กรุงเทพมหานคร
1. วัดยานนาวา เขตสาทร
2. วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เขตป้อมปราบฯ
3. วัดภาษี เขตวัฒนา กทม.
-สวดมนต์รอบพระธาตุ สวดมนต์พระเคราะห์
4. วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร เขตบางขุนเทียน
- สวดมนต์ข้ามคืน เวลา 5 โมงเย็นเป็นต้นไป ปลูกจิตสำนึกให้เด็กๆ และครอบครัว
5. วัดชัยพฤกษ์มาลา เขตตลิ่งชัน
6. วัดสุวรรณประสิทธิ์ เขตบึงกุ่ม
7. ยุวพุทธิกสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ เขตภาษีเจริญ
8. สมาคมส่งเสริมความดีสากล
9. วัดทุ่งลานนา เขตประเวศ กทม. – สวดมนต์เย็น สวดบทแปลวันเสาร์ 6
10. วัดพรหมวงศาราม เขตดินแดง
11. วัดเทพลีลา เขตบางกะปิ
12. วัดพระศรีมหาธาตุ เขตบางเขน
13. วัดเจริญธรรมาราม เขตสายไหม
14. วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร เขตดุสิต
15. วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร เขตพระนคร
16. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร เขตพระนคร
17. วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เขตพระนคร
18. วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เขตสัมพันธวงศ์
19. วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร เขตสัมพันธวงศ์
20. วัดชัยชนะสงครามราชวรมหาวิหาร เขตพระนคร
21. วัดมหรรณพารามวรวิหาร เขตดุสิต
22. วัดพิชัยญาติการามวรวิหาร เขตบางกอกน้อย
23. วัดสังข์กระจาย เขตบางกอกใหญ่
24. วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก เขตห้วยขวาง
25. วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร เขตป้อมปราบฯ ฯ
26. วัดศิริพงษ์ธรรมนิมิต เขตบางเขน
27. วัดราชสิงขร บางคอแหลม
28. วัดดาวดึงษ์ เขตบางพลัด
29. วัดมหาพฤฒารามวรวิหาร เขตบางรัก
30. วัดธรรมมงคล เขตพระโขนง
31. วัดหัวลำโพง เขตบางรัก
32. วัดบางโพโอมาวาส เขตบางซื่อ
33. วัดสร้อยทอง เขตบางซื่อ
34. วัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร
35. วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เขตพระนคร
36. วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เขตดุสิต
37. วัดประยุรวงศาวาส เขตธนบุรี
38. วัดกัลยาณมิตร เขตธนบุรี
39. วัดราชคฤห์ เขตธนบุรี
40. วัดจันทร์ประดิษฐาราม เขตตลิ่งชัน
41. วัดราชสิทธาราม เขตบางกอกใหญ่
42. วัดนาคกลาง เขตบางกอกใหญ่
43. วัดใหม่พิเรนท์ เขตบางกอกใหญ่
44. วัดสุวรรณคีรี เขตบางกอกน้อย
45. วัดเทพนารี เขตบางพลัด
46. วัดดอนเมือง เขตดอนเมือง
47. วัดเวฬุวนาราม เขตดอนเมือง
48. วัดเวฬุวนาราม เขตดอนเมือง
49. วัดราชโอรสาราม เขตจอมทอง
50. วัดนางนอง เขตจอมทอง
51. วัดทองนพคุณ เขตคลองสาน
52. วัดอัปสรสวรรค์ เขตภาษีเจริญ
53. วัดอุดมรังสี เขตหนองแขม
54. วัดคู้บอน เขตคลองสามวา
55. วัดบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ
56. วัดบุณยประดิษฐ์ เขตบางแค
57. วัดหนองจอก เขตหนองจอก
58. วัดอุดมรังสี เขตหนองแขม
59. วัดบางเตย เขตบึงกุ่ม
จ.พระนครศรีอยุธยา
1. วัดใหญ่ชัยมงคล อ.พระนครศรีอยุธยา
จ. ปทุมธานี
1. วัดปัญญานันทาราม อ.คลองหลวง
2. วัดสายไหม อ.ลำลูกกา
3. วัดโบสถ์ อ.สามโคก
4. ยุวพุทธิกสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ อ.คลองหลวง
5. องค์การบริหารส่วนตำบลคลองสาม
6. สมาคมวัฒนธรรมเพื่อความดีสากล
จ.นนทบุรี
1. วัดไผ่เหลือง อ.บางบัวทอง
2. วัดเฉลิมพระเกียรติ อ.เมือง
จ.ฉะเชิงเทรา
1. วัดบางแก้ว อ.เมือง
2. วัดหนองเสือ อ. พนมสารคาม
3. วัดโสธรวราราม อ.เมือง
4. วัดเขาดิน อ.บางปะกง
จ.ชลบุรี
1. วัดเกาะแก้วคลองหลวง อ.พนัสนิคม
- เจริญพระพุทธมนต์ 7 ตำนาน
2. วัดบ้านในบน อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี
- วันที่ 31 ธันวาคม ปฏิบัติธรรม, สวดมนต์
3. สวนธรรมนรารัตน์วันชัยขันติภาวนาบารมี อ.ศรีราชา
4. วัดเขาบ่อกวางทอง ม.4ต.บ่อกวางทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี
จ.ราชบุรี
1. วัดหนองตาเนิด อ.จอมบึง
2. วัดหนองโพ อ.โพธาราม
3. วัดมหาธาตุวรวิหาร อ.เมือง
จ.ปราจีนบุรี
1. วัดหลวงบดินทร์เดชา อ.กบินทร์บุรี
2. วัดหลวงบดินทร์เดชา อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี
3. วัดป่ามะไฟ อ.เมือง
4. วัดมะกรูด อ.กบินทร์บุรี
5. วัดพันศรี อ.กบินทร์บุรี
จ.สมุทรปราการ
1. วัดใหญ่ อ.พระสมุทรเจดีย์
- สวดมนต์ข้ามปี 22.00 น. – 01.00 น. สวดพรมน้ำมนต์ มีแจกปฎิทิน แจกวัตถุมงคล
2. วัดหัวคู้วราราม ถ.ลาดกระบัง ซ.54 -ม.หัวเฉียว
จ.สิงห์บุรี
1. วัดพระนอนจักรสีห์ อ.เมือง
จ.สระบุรี
1. วัดศรีบุรีรัตนาราม อ.เมือง
จ.อ่างทอง
1. วัดต้นสน อ.เมือง
จ.ระยอง
1. วัดเนินพระ อ.เมือง
จ.ตราด
1. วัดไผ่ล้อม อ.เมือง
2. วัดทุ่งไก่ดัก อ.เมือง
จ.สุพรรณบุรี
1. วัดป่าเลไลยก์ อ.เมือง
2. วัดสองพี่น้อง อ.สองพี่น้อง
3. วัดสามชุก อ.สามชุก
จ.สมุทรสาคร
1. วัดปทุมทองรัตนาราม อ.บ้านแพ้ว
2. วัดป้อมวิเชียรโชติการาม อ.เมือง
จ.เพชรบุรี
1. วัดเขื่อนเพชร อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี
จ.กาญจนบุรี
1. วัดหนองอำเภอจีน อ.เลาขวัญ
จ. นครปฐม
1. วัดพระปฐมเจดีย์ อ.เมือง
จ. นครนายก
1. วัดประสิทธิเวช อ.องครักษ์
………………………………………………………………………
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
สวดมนต์ข้ามปี 2556 นครราชสีมา
1. วัดสระตะเฆ่ อ.โนนไทย
2. วัดโคกศรีษะเกษ อ.ปักธงชัย
3. วัดท่าหลวง อ.พิมาย
4. วัดสุทธจินดา อ.เมือง
5. วัดอิสาน อ.เมือง
6. วัดปอแดง อ.ปักธงชัย
7.วัดต่างตา ต.หนองจะบก อ.เมือง
จ.ขอนแก่น
1. วัดพิศาล อ.สีชมพู
2. วัดหนองแวง อ. เมืองขอนแก่น
3. วัดโพธิ์ อ.เมือง
จ.มหาสารคาม
1. วัดขุนพรหมดำริ (บ้านอุปราช) อ.เมือง
2. วัดศรีสวัสดิ์ อ.เมือง
3. วัดโสมนัส อ.พยัคฆภูมิพิสัย
4. วัดกลางกุดรัง อ.กุดรัง
จ.ร้อยเอ็ด
1. วัดทุ่งรังษี อ.พนมไพร
2. วัดป่าตถตาราม อ.จังหาร จ.ร้อยเอ็ด
3. วัดโพธิการาม อ.โพนสูง
4. วัดสระเกษ อ.สระเกษ
5. วัดท่าสะแบง อ.ทุ่งเขาหลวง
6. วัดเจริญราษฎร์ อ.สุวรรณภูมิ
จ.สุรินทร์
1. วัดดอกจานรัตนาราม อ.รัตนบุรี
2. วัดสะเดารัตนาราม อ.ปราสาท
จ.สกลนคร
1. วัดบูรพาภิรมย์ อ.ส่องดาว
2. วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร
3. วัดโนนสว่างภิรมย์ อ.วานรนิวาส
จ.อำนาจเจริญ
1. วัดเทพมงคล อ.เมือง
2. วัดมงคลโกวิทาราม อ.เมือง
จ.อุบลราชธานี
1. วัดมงคลโกวิทาราม อ.เมือง
2. วัดทุ่งศรีเมือง อ.เมือง
จ.กาฬสินธุ์
1. วัดโพนวิมาน อ.เขาวง
2. วัดเวฬุวัน อ.สหัสขันธ์
3. วัดสิมนาโก อ.กุฉินารายณ์
4. วัดชัยมงคลโคกค่าย อ.ยางตลาด
จ.ศรีสะเกษ
1. วัดสว่าง อ.กันทรลักษ์
2. วัดกลางขุขันธ์ ต.ห้วยเหนือ อ.ขุขันธ์
3. วัดดอนใหญ่ ต.ดวนใหญ่ อ.วังหิน
4. วัดมหาพุทธาราม อ.เมือง
5. วัดศรีห้วยทับทัน อ.ทับทัน
6. วัดบ้านโดด ต.โดด อ.โพธิ์สรีสุวรรณ
7. วัดสิริวราวาส ต.น้ำอ้อม อ.กันทราลักษ์
8. วัดป่าขันติธรรม อ.กันทรารมย์
จ.บุรีรัมย์
1. วัดทุ่งโพธิ์ อ.เมือง
2. วัดไผ่น้อย อ.เมือง
จ.เลย
1. วัดศรีบุญเรือง อ.เมือง
จ.อุดรธานี
1. วัดมัฌชิมาวาส อ.เมือง
จ.ยโสธร
1. วัดยางตลาด อ.คำเขื่อนแก้ว
จ.หนองคาย
1. วัดโพธิ์ชัย อ.เมือง
2. วัดศรีชมชื่น อ. เมือง
3. วัดปากน้ำ บุ่งสระพัง อ.เมือง
จ.สระแก้ว
1. วัดนครธรรม อ.วัฒนานคร
จ.ชัยภูมิ
1. วัดป่าสันติธรรม อ.เมือง
………………………………………………………………………
ภาคเหนือ
สวดมนต์ข้ามปี 2556 เชียงใหม่
1. วัดศรีสุพรรณ อ.เมือง
2. วัดบ้านขุน อ.ฮอด
3. วัดป่าไม้แดง อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่
4. วัดสันกำแพง อ.สันกำแพง
5. วัดพระสิงห์ อ.เมือง
6. ธุดงคสถานล้านนา อ.สันทราย
7. วัดศรีโสดา อ.เมือง
จ.พิษณุโลก
1. วัดกำแพงมณี อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก
2. วัดพระศรีรัตนมหาตุวรมหาวิหาร อ.เมือง
จ.สุโขทัย
1. วัดท่าเกษม อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย
- วันที่ 31 ธันวาคม เจริญชัยมงคลคาถาข้ามปี ย่ำฆ้อง-กลอง ทำบุญตักบาตรปล่อยนก-ปล่อยปลา
2. วัดสวรรคาราม อ.สวรรคาราม
3. วัดราษฎร์ศรัทธาทำ อ.ศรีนคร
4. วัดศรีมหาโพธิ์ อ.เมือง
5. วัดไทยชุมพล อ.เมือง
จ.ลำปาง
1. วัดสบลืน อ.วังเหนือ
2. วัดปงหอศาล อ.แม่ทะ จ.ลำปาง
3. วัดศรีบุญเรือง อ.เมือง
4. วัดเจดีย์ซาวหลัง อ.เมือง
5. วัดเกาะวาลุการาม อ.เมือง
จ.พิจิตร
1. วัดบ้านน้อย อ.โพทะเล
- มีสวดมนต์เย็น ปฎิบัติธรรมนั่งสมาธิ เแจกวัตถุมงคล หลวงพ่อเงิน
2. วัดท่าหลวง อ.เมือง
จ.อุตรดิตถ์
1. วัดคลองโพธิ์ อ.เมือง
2. วัดหาดสองแคว อ.ตรวน
3. วัดศรีอุทุมพร อ.ลับแล
จ.เชียงราย
1. วัดเชตะวัน อ.เมือง
2. วัดพระสิงห์ ถนนสิงหไคล อ. เมือง
3. วัดพระแก้ว อ.เมือง
4. วัดพระธาตุผาเงา อ.เชียงแสน
5. วัดพระยอดขุนพล อ.เวียงป่าเป้า
จ.ลำพูน
1. วัดเมืองง่า อ.เมือง
2. วัดพระธาตุหริภุญไชย อ.เมือง
3. ศูนย์อบรมศีลธรรม
4. วัดหนองผำ อ.ป่าซาง
จ.พะเยา
1. วัดศรีอุโมงค์คำ อ.เมือง
- เวลา 21.39 น. – 00.09 น. สวดพุทธมนต์ สวดพุทธบารมี สวดมงคลจักรวาล และสวดอรหันต์แปดทิศ
2. วัดศรีโคมคำ อ. เมือง
จ.น่าน
1. วัดพระธาตุแช่แห้ง อ.ภูเพียง
จ.แพร่
1. สำนักสงฆ์ดอยขาน้อย อ.เมือง
จ.กำแพงเพชร
1. วัดบรมธาตุ อ.เมือง
จ.แม่ฮ่องสอน
1. วัดพระธาตุดอยกองมู อ.เมือง
จ.เพชรบูรณ์
1. วัดเพชรวราราม อ.เมือง
2. วัดวังชมพู อ.เมือง
………………………………………………………………………
ภาคใต้
สวดมนต์ข้ามปี 2556 พังงา
1. วัดประชุมโยธี อ.เมือง
จ.นครศรีธรรมราช
1. วัดพระพรหม อ.พระพรหม
2. วัดมหาธาตุวรมหาวิหาร อ.เมือง
3. วัดพระบรมธาตุ
จ. ตรัง
1. วัดเขาไม้แก้ว อ.สิงกา
จ.สตูล
1. วัดนิคมพัฒนาราม (ผังเจ็ด) อ.มะนัง
จ.สงขลา
1. วัดคลองแห อ.หาดใหญ่
2. วัดโคกสมานคุณ อ.เมือง
3. วัดถาวรวราราม อ.เมือง
จ.นราธิวาส
1. วัดพรหมนิวาส
2. วัดชลธาราวาส
จ.พัทลุง
1. วัดถ้ำสุมะโน อ.ศรีนครินทร์
จ.กระบี่
1. วัดถ้ำเสือ อ.เมือง
จ.ระนอง
1.วัดตะโปทาราม อ.เมือง
จ.สุราษฎร์ธานี
1. วัดท่าไทร ต.ท่าทองใหม่ อ.กาญจนดิษฐ์
จ.ภูเก็ต
1.วัดท่าเรือ อ.เมือง จ.ภูเก็ต
จ.ประจวบคีรีขันธ์
1.อาศรมสุญญตา อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
จ.ชุมพร
1.วัดขันเงิน อ.หลังสวน จ.ชุมพร
สวดมนต์ข้ามปี 2556 กระบี่
1.วัดไผ่ล้อม อ.เมือง จ.กระบี

ตรวจสอบรายชื่อวัดร่วม สวดมนต์ข้ามปี 2556 ได้ที่ เว็บไซต์ สสส.

Mthai Newshttp://news.mthai.com/headline-news/210331.html

เจ้าของร้านอาหารแจงภาพ ว.วชิรเมธี “อร่อยจนลืมกลับวัด”

เจ้าของร้านอาหารแจงภาพ ว.วชิรเมธี “อร่อยจนลืมกลับวัด”


ว.วชิรเมธี อร่อยจนลืมกลับวัด

ว. วชิรเมธี

ยันบริสุทธิ์ใจ ไมได้หวังผลทางการค้า เสียใจเกิดผลกระทบ ว. วชิรเมธี

หลังจากที่ในโลกออนไลน์มีการโพสต์พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ท่าน ว.วิชรเมธี ในขณะกำลังใช้ตะเกียบฉันอาหารอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง และมีการนำใส่กรอบรูป พร้อมข้อความที่เขียนด้วยลายมือว่า “อร่อยจนลืมกลับวัด” จนกลายเป็นกระแสวิจารณ์กันในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. ที่ผ่านมา นายชัยวัฒน์ สุวิทย์ศักดานนท์ เจ้าของร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อซาชิ ซึ่งเป็นผู้นิมนต์พระ ว.วชิรเมธี มาฉันเพลและขอให้เขียนข้อความให้กำลังใจ ได้โพสต์ในเฟซบุ๊กของร้าน https://www.facebook.com/SachiandSalada อธิบายข้อเท็จจริงและขออภัยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีใจความดังนี้
กราบขอประทานอภัย ชี้แจงกรณีภาพท่าน ว.วชิรเมธี ภาพท่าน ว.วชิรเมธีฉันอาหารพร้อมถ้อยคำประกอบที่มีการเผยแพร่ในอินเทอร์เน็ต เป็นภาพในร้านซาชิ ถ่ายเมื่อครั้งท่าน ว.วชิรเมธี กรุณามาเยี่ยมเยือน กระผมซึ่งเป็นเจ้าของร้านนับถือท่านเป็นครูบาอาจารย์ ได้เรียนรู้ธรรมะจากท่านหลายครั้ง เมื่อท่านมาถึงร้านก็พลอยยินดี และอยากให้ท่านได้ฉันอาหารที่ร้าน ซึ่งขอให้ท่านได้เมตตาเขียนให้กำลังใจตามภาพ ผมนำภาพท่านมาประดับในร้านร่วมกับภาพของครูบาอาจารย์อื่นอีกหลายท่านที่เคย มาเยี่ยมเยือน เพื่อเป็นกำลังใจให้ตนเอง เตือนตัวเองว่าครูบาอาจารย์เห็นชอบและสนับสนุนในสิ่งที่ผมทำ ควรต้องพากเพียรเพิ่มขึ้น มิได้ประสงค์ประโยชน์ทางการค้า และไม่คาดว่าจะเกิดผลกระทบต่อท่าน กระผมกราบขออภัยต่อท่าน ว.วชิรเมธี และขอความเข้าใจจากทุกท่านต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยครับ กราบประทานอภัยด้วยใจบริสุทธิ์
ชัยวัฒน์ สุวิทย์ศักดานนท์
MThai News

คลิป เวทีเสวนาเรื่อง "สิทธิและเสรีภาพ : ช่องว่างระหว่างบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและความเป็นจริง" 27-12-12





เวทีเสวนาเรื่อง "สิทธิและเสรีภาพ : ช่องว่างระหว่างบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและความเป็นจริง"
โดย ผศ.ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ
ดร.ศรีประภา เพชรมีศรี
ศ.ดร.อมรา พงศาพิชญ์
นายไพโรจน์ พลเพชร
ดร.ถวิลวดี บุรีกุล ผู้ดำเนินรายการ
วันพฤหัสบดี ที่ 27 ธันวาคม 2555 เวลา 08.45 -- 12.30 น.
ห้องแกรนด์บอลรูม ชั้น 1 โรงแรมรามาการ์เด้นส์กรุงเทพมหานคร

ขอบคุณคุณPrainn Rakthai
●♥●▬▬▬▬▬▬๑۩۩๑▬▬▬▬▬●♥●

โดยTeam konthaiuk
http://www.konthaiuk.info/home.php
http://www.konthaiuk.com/home.php
http://www.konthaiuk.co.cc/home.php
http://konthaiuk.eu/home.php

●♥●▬▬▬▬▬▬๑۩۩๑▬▬▬▬▬●♥●

MP3 >>> 27-12-12ช่องว่างระหว่างบทบัญญัติ รธน.
http://www.mediafire.com/?zcy75brvz0wza72
http://www.4shared.com/mp3/G_WBhkWX/27-12-12_maysa_konthaiukinfo.html


MP3 >>> 27-12-12สิทธิเสรีภาพในสังคมที่พึงปรารถนา
http://www.mediafire.com/?b33w8etfd5k8bm5
http://www.4shared.com/mp3/zq2qiAnY/27-12-12may_konthaiukinfo.html


 

"คลิป นปช.&ศูนประสานงานเพื่อประชาธิปไตยแถลงข่าว ประจำวันศุกร์ ที่ 28 ธันวาคม 2555"


"วันชัย รักสงวนศิลป์" เสียชีวิตในเรือนจำตำรวจหลักสี่ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2555

วันชัย รักสงวนศิลป์:ความแน่วแน่ที่จะไปให้ถึงฝัน

เสื้อแดงอุดรตายคาเรือนจำ

อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ยืนยัน วันชัย รักสงวนศิลป์ ผู้ต้องขังเสื้อแดง คดีฝ่าฝีน พรก.ฉุกเฉินฯและเผาสถานที่ราชการ ที่ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษหลักสี่ได้เสียชีวิตลงจริง พรุ่งนี้ส่งนิติเวช รอผลชันสูตร
วันนี้ (27 ธันวาคม 2555) จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข่าวการเสียชีวิตของนักโทษการเมืองในกลุ่มผู้ใช้ เฟซบุ๊ก ทางผู้สื่อข่าวประชาไทได้ติดต่อสอบถามไปยังกรมราชทัณฑ์   พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ซึ่งยืนยันข้อมูลว่า นายวันชัย รักสงวนศิลป์ ผู้ต้องขังคดีฝ่าฝีน พรก.ฉุกเฉินฯและเผาสถานที่ราชการ ที่ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษหลักสี่เสียชีวิตจริง

อธิบดีกรม ราชทัณฑ์กล่าวถึงเหตุแห่งการเสียชีวิตของ นายวันชัย ว่าในช่วงบ่ายของวันนี้หลังจากที่นายวันชัยเสร็จสิ้นจากการแข่งขันกีฬาก็ เข้ามาพักนั่งดูเพื่อนผู้ต้องขังเล่นหมากรุก และต่อมานายวันชัยเดินเข้าไปล้างหน้าที่ห้องน้ำ เมื่อเดินออกจากห้องน้ำ นายวันชัยก็ล้มลงกับพื้น เพื่อนผู้ต้องขังจึงแจ้งกับเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ทางเจ้าหน้าที่จึงนำตัวนายวันชัยส่งยังทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ แขวงลาดยาว จตุจักร

เมื่อถามถึงสาเหตุการเสียชีวิตนั้น  อธิบดีกรมราชทัณฑ์แจ้งกับประชาไทว่าทางกรมราชทัณฑ์ได้นำศพของนายวันชัยส่ง ให้ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ รพ.ตํารวจ กระทำการชันสูตร ในวันพรุ่งนี้ สำหรับเรื่องการแจ้งให้ญาติผู้ต้องขังได้รับทราบ พ.ต.อ.สุชาติกล่าวว่า คาดว่าทางเรือนจำติดต่อทางญาติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ข้อมูลจากศูนย์ ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เมษา-พฤษภา53 ( ศปช.) ได้ระบุว่า วันชัย รักสงวนศิลป์ ปัจจุบันอายุ 31ปี สถานะโสด มีอาชีพรับจ้างดายหญ้า เป็นชาว ต.หนองไผ่ อ.หนองหาน จ.อุดรธานี ในวันเกิดเหตุ (19   พฤษภาคม 2555) วันชัย เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองเป็นครั้งแรก โดยเดินทางจากบ้านที่ อ.หนองหารมาชุมนุมบริเวณศาลากลาง จ.อุดรธานี ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักอาศัยเป็นระยะทาง 35 กม. เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมที่บริเวณ ราชประสงค์

หลังเกิดเหตุการณ์เผาศาลากลาง วันชัยถูกเจ้าหน้าที่ทหารทำการจับกุมและทำร้ายร่างกาย(เหยียบและใช้ท่อนไม้ กระแทกที่แผ่นหลัง ) ก่อนที่จะถูกแจ้งความดำเนินคดี ในข้อหา ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์,บุกรุกสถานที่ราชการโดยมีอาวุธ,ทำให้เสียทรัพย์, ขัดขวาง เจ้าพนักงาน ฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉินฯ

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ ยกฟ้องข้อหาทำให้เสียทรัพย์และขัดขวางเจ้าพนักงาน แต่ลงโทษข้อหาวางเพลิงอาคารศาลากลางหลังเก่า โดยให้จำคุก รวม  20 ปี 6 ด. และให้จำเลยร่วมกันชดใช้  57.7 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย7.5% /ปี

นับ จากวันที่ถูกจับกุม จนถึงวันที่เขาเสียชีวิตในเรือนจำ เป็นเวลา 2 ปี 7 เดือนเศษ วันชัยมีโอกาสได้รับสิทธิ์ในการประกันตัวในช่วงก่อนที่ศาลชั้นต้นอ่านคำ พิพากษา เป็นเวลาเพียง 2 เดือนเศษ





คุณตั้ม นักสู้เพื่อนักโทษการเมืองมาตลอด กล่าวไว้อาลัย ให้วันชัย หน้าศาลาอาญา 27-12-12
คำไว้อาลัยหน้าศาลอาญา
เพิ่มคำอธิบายภาพ
นกเสรีภาพหน้าศาลอาญา
หน้าศาลอาญารอเวลาจุดเทีียนสองทุ่ม

คุณสุวิทย์ 24 มิถุนา ปชต กำลัง. กล่าวไว้อาลัยแด่ วันชัย ที่หน้าศาลอาญา รัชดา 27-12-12







วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คลิป เสวนาหัวข้อ "กำเนิดพรรคคอมมิวนิสต์สยาม"โดย เออิจิ มุราชิมา ดำเนินรายการโดย เวียงรัฐ เนติโพธิ์ 22ธค.55






เสวนาหัวข้อ "กำเนิดพรรคคอมมิวนิสต์สยาม"
โดย เออิจิ มุราชิมา ดำเนินรายการโดย เวียงรัฐ เนติโพธิ์
วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม 2555 ณ Book Re:bublic เชียงใหม่
อ.มูราชิมา ใช้เวลาทำการวิจัยการกำเนิดพรรคคอมมิวนิสต์สยาม รวมทั้งสิ้น 12 ปีครึ่ง (เริ่มตั้งแต่ปี 2518 เป็นต้นมา) !

ขอขอบคุณคลิปจาก Book Re:public

 MP3>>> กำเนิดพรรคคอมมิวนิสต์สยาม ตอนที่ 1/3 http://www.mediafire.com/?7jjm62wx0nfpgmq

MP3>>> กำเนิดพรรคคอมมิวนิสต์สยาม ตอนที่ 2/3 http://www.mediafire.com/?reb3bj7d9n668go

MP3>>> กำเนิดพรรคคอมมิวนิสต์สยาม ตอนที่ 3/3http://www.mediafire.com/?ofc61xhuw97bvtd

กำเนิดพรรคคอมมิวนิสต์สยาม ตอนที่ 1/3 อ.มูราชิมา ได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง จนระบุจุดกำเนิดพรรคคอมมิวนิสต์ในสยาม นอกจากนั้นแล้ว อ.มูราชิมาได้เล่าวิธีการสืบค้นหาข้อมูลอย่างยากลำบาก ตลอดการบรรยายนั้นฟังสนุกไม่แพ้ข้อค้นพบใหม่ๆ เชิญคลิกชมทันใด ตอนที่ 2/3 แนวคิดของพรรคคอมมิวนิสต์สยามเข้าสู่สังคมสยามได้อย่างไร อ.มูราชิมา ได้อธิบายความเกี่ยวพันไปถึงคอมมิวนิสต์สากล พรรคคอมมิวนิสต์ทะเลใต้ และการค้นพบชาวสยามคนแรกที่ได้เข้าไปอยู่ในกรรมการบริหารพรรค คลิกชมได้ทันที
ตอนจบ ช่วงการแลกเปลี่ยนซักถามมีการตั้งคำถามที่ อ.มูราชิมา ให้คำตอบผ่านข้อมูลที่มีรายละเอียดและการวิเคราะห์มาอย่างดี เช่น ชนชั้นนำสยามจัดการหรือแทรกแซงการเข้ามาของพรรคคอมมิวนิสต์ได้อย่างไร, ประเทศเจ้าอาณานิคม คอมมิวนิสต์สากล หรือชนชั้นนำเขียนประวัติศาสตร์พรรคคอมมิวนิสต์แตกต่างกันอย่างไร และทำไมชาวสยามในช่วงเวลาดังกล่าวจึงไม่ค่อยยอมรับแนวคิดคอมมิวนิสต์ ขณะที่ชาวเวียดนามมีการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์กันอย่างจริงจัง อย่าช้าคลิกชมโดยพลัน

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

คลิป รายการนายแน่มาก คฑาวุธ ประจำวันพุธ ที่ 26 ธันวาคม 2555

รายการนายแน่มาก คฑาวุธ ประจำวันพุธ ที่ 26 ธันวาคม 2555 ดำเนินรายการโดย Mr.BigBuff ทางเว็บคนไทยพิทักษ์ประชาธิปไตย

"ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีสิทธิเป็นได้ทั้งนางฟ้าและกะหรี่"

 รักคนอ่าน ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com "กะหรี่" มติชนสุดสัปดาห์ 

 คนไทยเป็นเชื้อชาติที่ด่าได้ยอกย้อนและเจ็บปวด

เทียบกับคำด่าฝรั่งที่มีไม่กี่คำ ด่ากันซ้ำไปซ้ำมาแล้ว

ของไทยต้องนับว่าชนะขาดลอย

อาจเป็นเพราะเรามักไม่พูดกันตรงๆ วิจารณ์กันตรงๆ แต่เก็บมาพูดกันเอง

จะด้วยอยากวิจารณ์หรือพูดเอาสะปากก็เถอะ

ภาษาด่าของเราถึงได้ซับซ้อนซ่อนเงื่อน กระทบกระเทียบเปรียบเปรยไปได้แบบต่อให้ไม่เห็นตัว

แต่พอได้ยินคำด่าก็นึกภาพออกเป็นฉากๆ



เขาว่าคำด่าที่เจ็บปวดและดูจะได้รับความนิยมที่สุด

ก็คือคำด่าที่พาดพิงไปเกี่ยวกับผู้หญิงหากิน

ไล่มาตั้งแต่นับญาติว่าเป็นลูก เป็นแม่ เป็นสามีของเธอเหล่านั้น

ไปจนถึงด่ากันตรงๆ ดื้อๆ ว่าเจ้าตัวเป็นเสียเอง

เห็นใครที่ไม่ถูกตาถูกใจเกิดมีอาการร่าเริงสดใสขึ้นมาล่ะก็

พนันได้เลยว่าเดี๋ยวจะต้องมีคำด่าประเภทนี้ลอยมาเข้าหู

ซึ่งก็มักจะได้ยินบ่อยๆ

เพราะขึ้นชื่อว่ามนุษย์ สุดท้ายก็ไม่พ้นความร่าเริง

แล้วพอร่าเริงขึ้นมาเมื่อไหร่ คนที่ไม่ชอบเขาก็ได้สมใจ ใช้คำด่ามาระบุตัวตนทันที

ทั้งดอกทอง, โสเภณี, ชอกการี ไปจนถึงง่ายๆ ลุ่นๆ อย่าง "กะหรี่"

บางทีได้ยินแล้วก็ให้นึกถึงคนที่ประกอบอาชีพนี้

โดนด่าทั้งทางตรงทางอ้อมทุกวันๆ โดยไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคู่ขัดแย้งนั่นแม้แต่น้อย

ด่าคนที่แม้ไม่ได้ทำอาชีพ แต่มีกริยาอาการบางอย่างให้ขวางตาก็ตีกระทบไปถึงงานขายบริการทางเพศ

อาจเพราะเธอเหล่านี้ไม่ใช่คนกลุ่มใหญ่ของสังคม อาชีพก็ดูเป็นสีเทาๆ

แลกความออดอ้อนฉอเลาะและสิ่งที่คนส่วนใหญ่เขาทำให้กันฟรีๆ เพื่อสิ่งที่เรียก ว่าความรักกับเงิน

เลยตกเป็นเหยื่อความสะปากกันไปได้ง่ายๆ



เราเองอาจจะบอกว่าเราก็พูดไปอย่างนั้น

คนบางคนมันแย่กว่ากะหรี่เสียอีก

แต่ไม่รู้จะด่าอย่างไรให้สาสม ก็เลยได้แต่พูดไปซ้ำๆ ด้วยความมันปาก

ว่าคนนั้นกะหรี่อย่างนี้ คนนี้กะหรี่อย่างนั้น

เบะปากใส่ ทำตัวห่ออย่างขยะแขยง เลี่ยงได้เลี่ยง หลบได้หลบไม่ขอข้องแวะด้วย

โดยไม่ได้คิดหรอกว่าเธอเหล่านั้นก็เป็นคน

และการตัดสินใจของกะหรี่ก็มีส่วนช่วยคนดีๆ ได้หลายคน



13 บุปผาแห่งนานกิงยกเอาฉากหนึ่งในสงครามอันอื้อฉาวมาใช้

ก่อนจะใส่ตัวละครอันมีสีสันเพิ่มเข้าไป

เรื่องจริงจะเป็นเช่นนี้หรือไม่, ไม่มีใครยืนยันได้

หรือที่จริงต้องบอกว่า, แทบจะไม่มีใครรอดมายืนยันได้

ช่วง ทหารญี่ปุ่นบุกยึดเมืองนานกิงในปี 1937 นั้นถือว่าเป็นความเลวร้ายอย่างที่สุด จากพฤติกรรมที่นอกจากจะยึดเมืองด้วยเล่ห์กลทางการทหารแล้ว

ยังฆ่าคนไปเป็นจำนวนมาก

โดยไม่ได้แค่ฆ่าเฉยๆ

แต่ยังข่มขืนและกระทำทารุณต่อผู้หญิงและเด็กแทบทุกชีวิตในเมืองนั้น

คนที่รอดมาได้ไม่ได้รอดเพราะความเมตตา

แต่รอดเพราะโชคชะตาส่วนตัวและความช่วยเหลือของคนบางกลุ่ม

ตามประวัติศาสตร์จริง ผู้ช่วยให้รอดนั้นส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ

บ้างเป็นหมอ บ้างเป็นนักการทูต

แต่หนังสือเล่มนี้เลือกหยิบเอาชะตากรรมที่รอดพ้นความวิบัติครั้งนั้นของนักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่ง

ซึ่งมีชีวิตต่อมาได้ด้วยความช่วยเหลือของผู้หญิงจากหอนางโลม

ใช่, เธอรอดตายเพราะกะหรี่



อาจเพราะพวกเธอเคยถูกกดขี่มาจนเคยชิน

อาจเพราะพวกเธออยากพิสูจน์ให้ได้เห็นว่าเธอก็มีประโยชน์

อาจเพราะเธออยากทำให้ดูว่าสิ่งที่รังเกียจกันนั้น สุดท้ายมันก็คืออำนาจที่จะต่อรองและซื้อเวลา

อาจเพราะเธออยากให้เห็นว่าไม่มีอะไรสำคัญเกินกว่าจะแลกกับชีวิต

ชีวิตของคนดีๆ ที่พร่ำด่าแล้วชักสีหน้ารังเกียจใส่พวกเธออยู่ทุกวันนั่นล่ะ

จะอะไรก็เถอะ

ฉันเห็นใจพวกเธอ

ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีสิทธิเป็นได้ทั้งนางฟ้าและกะหรี่

ขึ้นอยู่กับว่าฉันจะไปปรากฏตัวต่อหน้าใคร

และเขาจะชอบใจฉันหรือไม่

ถ้าชอบ, ฉันก็เป็นนางฟ้า

ถ้าไม่ชอบ, ฉันก็เป็นกะหรี่คนหนึ่ง

ไม่ได้วัดจากความประพฤติหรือข้อเท็จจริงอะไร

เขาดูกันง่ายๆ ที่ใจของพวกเขานั่นเอง
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1356247545&grpid=03&catid=03

วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ด่วน ! พระธรรมทูตไทยในอังกฤษอุบัติเหตุมรณภาพ พร้อมกัน 3 รูป

ด่วน !
พระธรรมทูตไทยในอังกฤษอุบัติเหตุมรณภาพ
พร้อมกัน 3 รูป


เกิดเหตุสลดใจครั้งใหญ่อีกครั้งในวงการพระธรรมทูตสายต่างประเทศ เมื่อพระไทยในประเทศอังกฤษประสบอุบัติเหตุถึงแก่มรณภาพถึง 3 รูปด้วยกัน
จากข่าวของ BBC รายงานว่า เกิดอุบัติเหตุบนถนนสาย A68 ในประเทศอังกฤษ เมื่อเวลา 07:30 น. (เช้าตรู่) ของวันที่ 24  ธันวาคม 2555 พบผู้เสียชีวิตในรถเป็นชายจำนวน 3 คน และมีสตรีและบุรุษบาดเจ็บอีก 2 คน ซึ่งข่าวระบุเพียงสั้นๆ ว่า "who were all Buddhist monks"
อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ดอทคอม ได้ต่อสายไปถามข่าวกับพระปัญญาพุทธิวิเทศ (เจ้าคุณเหลา ปญฺญาสิริ) เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุสหราชอาณาจักร เลขาธิการองค์การพระธรรมทูตไทยในสหราชอาณาจักร ก็ได้รับคำตอบว่า ทั้งสามรูปที่มรณภาพนั้นเป็นพระไทย
โดยรูปแรกนั้นคือ พระมหาประนอม ธมฺมวิริโย นามสกุล ทองไพบูลย์ อายุ 44 ปี เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธาราม เมืองอเบอร์ดีน สก็อตแลนด์ เดิมเป็นชาวอำเภอแปดริ้ว จังหวัดฉะเชิงเทรา อดีตเคยจำพรรษาอยู่ที่วัดมหาธาตุสหราชอาณาจักร แล้วย้ายไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดไทยพุทธารามได้ไม่นาน เพิ่งเดินทางกลับมาจากเมืองไทยเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ที่ผ่านมา
รูปที่สองคือ พระมหาเกรียงไกร นิรุตฺติเมธี นามสกุล คำสำโรง อายุ 34 ปี พระธรรมทูตวัดพุทธปทีป กรุงลอนดอน ซึ่งเป็นพระอาคันตุกะ มีกำหนดเดินทางกลับประเทศไทยในเร็ววันนี้
ส่วนรูปที่สามคือ พระมหาชัย สุตเมธี นามสกุล บุญมา อายุ 34 ปี วัดสังฆปทีป แคว้นเวลส์
ทั้งสามรูป ได้รับนิมนต์จากญาติโยมชาวสก็อตแลนด์ เพื่อไปเจริญพระพุทธมนต์ฉันเพลในวันที่ 26 ธ.ค. นี้ และได้เดินทางออกจากวัดพุทธปทีป กรุงลอนดอน ในเวลาประมาณ 4 ทุ่ม กำหนดเดินทางให้ถึงสก็อตแลนด์ในเวลาเช้า แต่ต้องมาประสบอุบัติเหตุเสียก่อน
พระปัญญาพุทธิวิเทศ ยังอธิบายด้วยว่า คณะที่ไปมีทั้งหมด 5 ท่านด้วยกัน โดยมี คุณสังข์ทอง เพ็ญศรีใส อดีตพระธรรมทูตสังกัดวัดพุทธปทีป ซึ่งเพิ่งลาสิกขาได้ไม่นาน เดินทางไปคอยรับใช้พระธรรมทูตด้วย อีกท่านหนึ่งเป็นสุภาพสตรี และเป็นคนขับรถ โดยคุณสังข์ทองนั่งคู่กับคนขับที่ด้านหน้า ส่วนพระไทยทั้งสามรูปนั้นนั่งเบาะหลังทั้งหมด เมื่อเกิดอุบัติเหตุนั้น พบว่าพระไทยทั้งสามรูปมรณภาพในรถ ส่วนสุภาพสตรีและคุณสังข์ทองบาดเจ็บ
ข่าวคืบหน้า อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ดอทคอม จะรายงานให้ทราบต่อไป
Three men killed in head-on crash on A68

Three men have been killed in a head-on car crash on the A68 in the east of Scotland, police have said.

The two-car incident happened about a mile-and-a-half south of Pathhead in Midlothian, just after 07:30. One of the cars, a Nissan Note, was carrying five people and ended up on its roof.

Three male backseat passengers in the car, who were all Buddhist monks, died at the scene. Its female driver managed to get herself free.

The male front seat passenger in the vehicle was cut out of the wreckage by fire crews.

The Nissan was heading north when it was involved in a crash with a Skoda Octavia being driven in the opposite direction.

The two survivors from the Nissan were taken to the Edinburgh Royal Infirmary and treated for injuries not believed to be life-threatening, Lothian and Borders Police said.

The Skoda's male driver was also taken to hospital, but did not suffer serious injury.

The A68 was closed near the scene of the crash to allow police to carry out a crash investigation and re-opened later.

Insp Simon Bradshaw, of Lothian and Borders Police, said: "This is a tragic incident, and we are currently in the process of carrying out inquiries in order to establish the full circumstances of the collision.

"At this time, I am appealing to anyone who noticed the gold coloured Nissan Note or the silver Skoda Octavia on the A68 this morning, to get in touch."

On Sunday, a man and a woman died in a head-on crash about 10 miles from the A68 incident.

It happened on the A697, in Carfraemill in the Scottish Borders, at about 14:55.
ข่าว : BBC
24 ธันวาคม 2555

วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

โคตรโกง เดอะซีรี่ย์ 2…แฉเทคนิคพิสดาร ระบายข้าวแบบ “ลับๆ” แบบฉบับ รบ.อภิสิทธิ์ !

โคตรโกง เดอะซีรี่ย์ 2…แฉเทคนิคพิสดาร ระบายข้าวแบบ “ลับๆ” แบบฉบับ รบ.อภิสิทธิ์ !

 http://www.siamleaks.com/top-news/2012/1004.html


Posted by bigeditor on 24 Dec 2012 / 0 Comment



ตอนที่แล้ว Siamleaks หยิบยกกรณี “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” โดยกระทรวงพาณิชย์ แอบระบายข้าวให้กับ “ฟาร์มเลี้ยงหมู” หนองลังกาฟาร์ม ซึ่งมีเจ้าของเป็นถึง “ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์” ของ “พรทิวา นาคาศัย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มาจาก “พรรคภูมิใจไทย (ภท.)”
โดยผ่านการรับรู้ รับทราบและเห็นชอบจาก “ไตรรงค์ สุวรรณคีรี” รองนายกรัฐมนตรี จาก “พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.)” ในฐานะ “รองประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.)” ที่ “อภิสิทธิ์” แต่งตั้งให้เป็นผู้มีอำนาจในการให้ความเห็นชอบ
ซึ่งความเสียหาย หลัก 50-60 ล้านบาท อาจจะแค่จิ๊บๆ แต่นั่นคือ “หนังตัวเอง” ของอภิมหาโกง “ระบายข้าว” ของ “รัฐบาลประชาธิปัตย์” ที่ถ้านั่งนับความเสียหายทั้งหมด อาจจะสูงนับหมื่นล้านบาท !!!
ก็อย่างที่บอก “มติ ครม. 29 มิถุนายน 2553” นั้น มอบหมายให้ “คณะทำงานดำเนินการระบายข้าว” เป็นผู้ดำเนินการพิจารณาขายข้าวให้กับ “เอกชน” แล้วนำเสนอต่อ “ประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวสาร (พรทิวา นาคาสัย รมว.พาณิชย์)” พิจารณาอนุมัติ
จากนั้น “พรทิวา” ก็ต้องเสนอให้ประธาน กขช. (อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรี) หรือรองประธาน กขช. (ไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี) พิจารณา ก่อนลงนามในสัญญา !
ดังนั้น ปชป.จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า “กระบวนการ (โคตร)โกงข้าว” สมัยนั้นเป็นฝีมือของ “ภท.” เจ้าของโควตา “รมว.พาณิชย์” เพียงฝ่ายเดียว !
เพราะข้อเท็จจริงปรากฏว่าชัดเจนว่า “รับทราบ” ร่วมกัน ในทุกขั้นตอน
ซึ่งถ้าอ่านเนื้อหาเรื่อง “โคตรโกง เดอะซีรี่ย์ 1ฯ” ที่ Siamleaks ได้เขียนเอาไว้ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การพิจารณาระบายข้าวสารใสต็อกรัฐบาลให้กับ “หนองลังกาฟาร์ม” ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ “ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์” นั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วจนน่าแปลกใจ
จากข้อมูลปรากฏว่า “หนองลังกาฟาร์ม” ที่ยื่นขอเสนอซื้อ “ข้าวสารเก่าในสต็อกรัฐบาล” ซึ่งประกอบด้วยข้าวขาว 5 เปอร์เซ็นต์ ข้าวหอมมะลิ และข้าวขาว 25 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งสิ้น 8,953 ตัน ในราคาเดียวกัน ทุกชนิด 5,000 บาทต่อตัน มายัง“คณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสาร” พิจารณาในวันที่ 5 สิงหาคม 2553
ให้หลังเพียง 1 วัน “คณะทำงานฯ” ก็ส่งเรื่องให้ “พรทิวา” รมว.พาณิชย์ รับทราบใน วันที่ 6 สิงหาคม 2553
พร้อมแนบเนื้อหา ที่ระบุว่า คณะทำงานฯ สามารถต่อรอง ราคาขายข้าวสาร จำนวนดังกล่าว ให้กับ “หนองลังกาฟาร์ม” ได้ในราคาตันละ 5,400 บาท
ไม่น่าเชื่อว่า “คณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสาร” ที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งขึ้นมา จะใช้เวลาในการต่อรองราคาและตกลงซื้อขายข้าวกับ “หนองลังกา” ไม่ถึง 24 ชั่วโมง ก็สามารถ “ทุบโต๊ะ-เคาะราคา” ได้เบ็ดเสร็จ !!!
เบื้องลึกเบื้องหลังเรื่องนี้ ก็คือ “กระบวนการระบายข้าวสาร” ของ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นั้น “ถูกสั่ง” ให้ดำเนินการ “ลับ” ทั้งหมด !!!
โดยหลังจากที่ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อ 17 ธันวาคม 2551 ก็เข้ามาแสดงฝีมือในการบริหารราคาสินค้าเกษตร จนตกต่ำแทบทุกประเภท
โดยเฉพาะ “ราคาข้าว” ที่เคยถีบตัวสูงสุดในสมัย “รัฐบาลพรรคพลังประชาชน” ถึง 15,000-20,000 บาทต่อตัน กลับลดลงฮวบฉาบมาอยู่ที่ราคา 7,000-9,000 บาทต่อตัน
กระทั่ง “รัฐบาลอภิสิทธิ์” จำเป็นต้องกำหนดให้มี “แนวทางแก้ไขปัญหาราคาข้าวเปลือกตกต่ำ” อยู่เป็นระยะ
ซึ่ง Siamleaks ได้ตรวจสอบจากเว็บไซด์สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก็พบ มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ แนวทางแก้ไขปัญหาราคาข้าวเปลือกตกต่ำอยู่หลายวาระ
แต่ที่น่าสนใจคือ มติ ครม.เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2553 “รับทราบแนวทางแก้ไขปัญหาราคาข้าวเปลือกตกต่ำตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ” เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2553 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า “ราคาข้าว” ในช่วง “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ตกต่ำอย่างหนัก จนต้องสั่งการให้หน่วยงานรัฐ เปิดโต๊ะรับซื้อข้าวเอง ในแต่ละจังหวัด
และด้วยเหตุผล “ราคาข้าวตกต่ำ” ทำให้  “ครม.อภิสิทธิ์”  มีมติ ครม.ในเวบาต่อไป ให้ “อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ” ในฐานะ “ประธานคณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสาร” ให้ดำเนินการระบายข้าว เป็นการ “ลับ” ทุกขั้นตอน
โดยอ้างว่า “หากมีการประกาศว่ารัฐบาลจะระบายข้าว และปล่อยให้เอกชนยื่นซองประกวดราคา ประมูลข้าวในสต็อกรัฐบาลตามระบบ จะทำให้ “เอกชน” รวมหัวกันฮั้วประมูล จนรัฐบาลขายข้าวไม่ได้ราคา” !!!
ซึ่งช่วงนั้นก็มีรายงานข่าวจากเว็บไซด์ manager ชัดเจนว่า “ครม.มีมติให้ดำเนินการเป็นการ “ลับ” ทั้งหมด”
โดยวิธีการที่ดีที่สุด ที่ “รัฐบาลอภิสิทธิ์” เชื่อมั่นว่า สุจริต-โปร่งใส ก็คือการ “สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ดูว่ามีบริษัทไหนบ้างที่มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ แล้วเรียกมาตกลงราคา” !!!
ซึ่งข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่า “ประธานคณะทำงานฯ” ได้เลือกใช้วิธี “ต่อรองราคา” ซื้อ-ขายข้าวสารในสต็อกรัฐบาลผ่านการ “โทรศัพท์” ไปหาผู้เสนอซื้อ !!!
โดยตรงนี้ จึง “จุดสำคัญ” ของเรื่องทั้งหมด เพราะเป็นจุดที่ “เปิดช่อง” ให้เกิดการทุจริต
โดย 1.เมื่อไม่ได้มีการประกาศเชิญชวนให้ “เอกชน” ผู้สนใจ ได้รับทราบ และส่งคำเสนอราคาซื้อข้าวสารในสต็อกรัฐบาล ก็เท่ากับปิดโอกาสบุคคลภายใน และเหลือเพียงบุคคลภายในและใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจในการระบายข้าวสารของรัฐบาล เท่านั้นที่ทราบข่าวและสามารถเสนอซื้อได้
2. เมื่อ “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ให้อำนาจ“ประธานคณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสาร” เป็นผู้มีอำนาจ ในการพิจารณาเลือก “เอกชน” ที่เสนอซื้อข้าวสารในสต็อกรัฐบาล (มีแต่พวกตัวเอง) รายใดก็ได้ ก็อาจจะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ล็อคสเปค” เอื้อประโยชน์เฉพาะ “เอกชน” บางราย อย่างคำที่ ปชป. มักพูดบ่อยครั้ง
และ 3. การ “ต่อรองราคา” ทาง “โทรศัพท์” นั้น นับเป็นเทคนิควิธีการ สุดแสนจะพิสดาร ในการระบายข้าวสารในยุค “รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์” !!!
ผลจึงปรากฏ ในท้ายที่สุดว่า “หนองลังกาฟาร์ม” กลายเป็น “เอกชนรายเดียว” ที่เสนอซื้อ “ข้าวสารในสต็อกรัฐบาล” ล็อตนั้น
ซึ่งก็เป็น “หนองลังกาฟาร์ม” ที่มีเจ้าของชื่อ “บุญยิ่ง นิติกาญจนา” ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
และไม่เพียงแค่ “หนองลังกาฟาร์ม” เท่านั้น ที่มี “อภิสิทธิ์” ในการ “เสนอซื้อ” และได้รับอนุมัติให้ เข้าซื้อข้าวสารในสต็อกรัฐบาล ปชป.
แต่ “หนองลังกาฟาร์ม” เป็นเพียง 1 ใน 10 กว่าบริษัท ที่มีเข้ามาทำมาค้าขาย เรื่องสินค้าเกษตร สมัย “รัฐบาลประชาธิปัตย์” ในลักษณะเดียวกันนี้
กระทั่ง “ผู้รู้” หลายคน ถึงกับออกปากว่า ความเสียหาย อาจจะสูงถึง หมื่นล้าน !
โปรดติดตามตอนต่อไป !!!

วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วลีใหม่ "ยิ่งลักษณ์ทำ ทักษิณใส่"

Liked · about a minute ago

"ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ"
เป็นเแคมเปญของ พรรคเพื่อไทย ในช่วงหาเสียง จนทำให้ได้รับชัยชนะเหนือพรรคประชาธิปัตย์

แต่ในวันสบายๆของคุณพ่อ ช่วงก่อนวันคริสต์มาส กับเสื้อตัวนี้ ผมขอเรียกว่า

"ยิ่งลักษณ์ทำ ทักษิณใส่" แล้วกันครับ

เป็นรูปที่ยืนยันถึงความรัก และความสามัคคี ของ2พี่น้องที่มุ่งมั่นจะทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ และพี่น้องประชาชน เป็นของขวัญส่งท้ายปีเก่า จากคนแดนไกล

คุณพ่อฝาก Merry X'mas ทุกท่าน ขอให้มีความสุขมากๆครับ

นโยบายลดภาษีรถคันแรก ทำให้รถติดจริงๆ เหรอ

นโยบายลดภาษีรถคันแรก ทำให้รถติดจริงๆ เหรอ
(ยาวมากขอบอกไว้เขียนแล้วติดลม)
จั่วหัวแบบนี้ค่อนข้างขัดกับความคิดของคนในกรุงเทพมหานครเล็กน้อยนะครับ
(น่าจะเยอะแหละ ฮาาา)เราจะมาพูดถึงนโยบายนี้โดยตามความคิดของผมนะครับ
โดยเราจะมองหลายๆมุม แยกเป็นประเด็นต่างๆ
ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่าผมอยู่ในกรุงเทพตั้งแต่เกิดนะครับไม่เคยใช้ีชีวิตต่างจังหวัด
ตอนนี้ก็กำลังรอรถวีออสด้วยนโยบายรถคันแรกอยู่ ซึ่งตอนนี้ผมเองมีรายได้
พอที่จะผ่อนแบบสบายๆแล้วครับและตัวผมเองไม่ได้มีอคติ หรือชื่นชอบรัฐบาลแต่อย่างใดครับ
เราจะมาวิเคราะห์ที่ตัวนโยบายเท่านั้น
ผมแค่ต้องการชี้จุดสำคัญๆ ที่คนเราหลายๆคน อย่างในทวิตเตอร์หรือเพื่อนผมที่เข้าใจผิดพลาดไปนะครับ

ด้านแรกที่อยากจะให้มองคือ รถจากโครงการนี้ ในตอนนี้มันมีผลต่อรถติดจริงๆ รึยัง ?
ตัวเลขที่ประเมินคร่าวๆ สูงสุดที่โครงการนี้รองรับคือ 500,000 คันครับ
ปัจจุบันนี้มียอดจองอยู่ที่ 400,000 คัน และรถที่จดทะเบียนกับกรมสรรพสามิตมีราวๆ 100,000 คัน
รถที่จดทะเบียนกับกรมสรรพสามิตนั้นคือ รถที่ได้ทะเบียนป้ายขาวแล้ว
แต่ต้องการใช้สิทธิลดภาษีนั่นเอง มีเพียงแค่ 100,000 คันจากทั้งหมด
และก็ทราบจากการประเมินนั้นได้ว่า มากกว่าครึ่งเป็นรถที่อยู่ในต่างจังหวัด
(รวมถึงรถที่ยังอยู่ในยอดจอง) มีรถเป็นกระบะเกือบครึ่งนึงเลยทีเดียว
ในจุดนี้มีผลให้รถติดขนาดที่เราเห็นๆ กันอยู่เหรอครับ ? จริงๆ แล้วมันยังมีรถที่อยู่นอกโครงการอีกนะ
โดยที่คนส่วนใหญ่ที่โจมตีนโยบายนี้จะไม่ได้คิดถึงรถกระบะที่เขาใช้ทำงานกันครับ
จะมุ่งคิดไปถึงรถคอมแพคขนาดเล็กเช่นวีออสเป็นต้น
แล้วไหนจะรถขนาดเครื่องยนต์มากกว่า 1500cc อีก ถ้าุคุณลองมองรถป้ายแดง
ที่ออกมาหรือลองมองทะเบียนขาวหมวด ฆ (หมวดที่เริ่มช่วงเดือนมีนาคม หรือ ญ กับ ฏ
จะเป็นหมวดก่อนหน้านั้นนิดหน่อยแต่น่าจะอยู่ในช่วงของโครงการเช่นกัน)
จะเห็นว่ามีรถรุ่นใหญ่ไม่น้อยเลยทีเดียวเช่นแคมรี่, เทียน่า, ซีวิค, อัลติส
เพราะงั้นขอสรุปย่อยตรงนี้ว่า รถที่เพิ่มมากขึ้นในท้องถนนนั้น มีปริมาณรถที่มาจากโครงการนี้
และมาจากนอกโครงการอีกไม่น้อยเลย แล้วถ้าจะให้เห็นผลว่าติดรึยัง รอกลางปีหน้าครับตอนรถส่งมอบกันครบแล้ว ฮ่าๆ

ทีนี้มาดูมุมมองด้านที่ว่า โครงการนี้เร่งให้คนซื้อรถเร็วขึ้น เร่งให้คนไม่จำเป็นต้องมีรถก็ซื้อกันบ้าง
ผมขอบอกเลยเป็นทั้งคำพูดที่กล่าวหาโครงการนี้ทั้งจริงและไม่จริง...
ในแง่ความจริงคือ คนเรานะครับ อยู่ดีๆ เห็นของราคาถูก เราก็คิดว่าคุ้มหน่ะ
ซื้อๆ เก็บไว้อย่างกับของลดราคาในห้างซื้อ 1 แถม 1 ก็ซื้อๆไปก่อน ไม่ใช้ค่อยทิ้ง
ลักษณะนี้ก็เหมือนกัน คนที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้รถก็ไปซื้อ เพราะคิดว่ามันถูก
เดี๋ยวก็ใช้ หรือบางคนไม่พร้อมจริงๆ ก็ยังจะอยากได้อาจจะไปกู้เงินมาดาวน์
ผ่อนไม่ไหวก็ต้องยอมให้รถถูกยึดไป เอาตามความจริงผมเห็นรถวีออสกระจังหน้าสีเทา
ซึ่งเป็นโฉมใหม่ของกลางปีนี้ อยู่ในเต้นซะแล้ว ผมไม่คิดว่าซื้อมาแล้วก็ไม่ชอบเลยเอาไปขายนะครับ
คิดว่าคนๆนั้นไม่พร้อมที่จะซื้อรถมากกว่า แต่ขอซื้อไว้ก่อน กลายเป็นว่าโครงการนี้สนับสนุนให้คนมีหนี้มากขึ้น
ทีนี้มาลองมองในมุมที่กลับกันบ้าง อย่างในกรณีนี้ผมเชื่อว่ามีหลายต่อหลายคนแน่ๆ
ที่ตัดสินใจว่ากำลังจะซื้อรถมีกำลังทรัพย์เพียงพอที่จะซื้อหรือกำลังดูๆรถและพร้อมจะซื้อจริงๆ
เมื่อ มีโครงการนี้มาก็กลายเป็นว่า แจ็กพอตสิครับ ลดไปทั้ง 100,000 บาท คนๆนั้นถือได้ว่าเป็นผู้ได้ประโยชน์เต็มๆของโครงการนี้เลย ซึ่งเขาจะซื้อหรือไม่ซื้อก็จะอยู่ในเรื่องของกลไกตลาดต่อไปว่ารุ่นรถ
ดีไซน์ของรถมันดีเพียงพอไหมอีกเรื่องนึง
ซึ่งผมเองก็ตกอยู่ในกลุ่มนี้พอดีเพราะผมเล็งๆ จะซื้อมาใช้ขับไปทำงานและใช้ส่วนตัวอยู่นานแล้ว
เมื่อโครงการนี้มาก็ถือได้ว่าประหยัดไปหนึ่งแสนจากราคาเต็ม
หรือเพิ่มเงินนิดหน่อยจากการซื้อรถคันแรกที่เป็นรถมือสอง
หรือหากมองในมุมมองของผู้ที่ได้รับประโยชน์เต็มๆ อีกกลุ่มนึงที่ไม่ใช่คนในกรุงเทพครับ
คนต่างจังหวัดที่เขาไม่มีเครือข่ายรถเมล์อย่างในกรุงเทพ เขาต้องพึ่งรถยนต์
รถมอเตอรไซค์ นอกจากนี้ยังใช้รถกระบะจากโครงการนี้เข้ามาช่วยเริ่มต้นอาชีพได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
(แอบคิดว่าไม่จำเป็นต้องไปช่วยรถมือหนึ่งเนาะ อาจจะเป็นรถกระบะรุ่นเก่าก็ได้)
ตรงนี้ผมขอสรุปง่ายๆ นะครับคนที่ซื้อเพราะคิดว่าเป็นโอกาสทองเมื่อไม่พร้อมที่จะใช้
ไม่พร้อมจะจ่ายค่างวดหรือค่าน้ำมัน ก็ต้องขายหรือไม่ก็จอดแอ้งแม้งอยู่ที่บ้าน แต่กับคนที่พร้อม
ไม่ว่าจะซื้อตอนนี้หรือตอนไหนมันก็จะซื้อครับ
ซื้อมาเพิ่มรถบนถนนอย่างที่ทุกคนเห็น ไม่มีโครงการนี้ผมก็ซื้อ!
ด้านต่อไปเป็นด้านที่คนพูดถึงมาก ทำไมต้องผลาญเงินภาษีประชาชนไปอุดหนุนโครงการนี้ด้วย ?
ข้อนี้เป็นอะไรที่ตลกมากๆๆๆ ครับถ้าคุณลองทำความเข้าใจกับกระบวนการนี้คุณจะมองเห็นว่ามันตลกจริงๆ
รถยนต์โดยทั่วไปเมื่อออกจากโรงงานจะมีราคาตั้งต้นอยู่นะครับ
รัฐบาลจะจัดเก็บภาษีออกจากโรงงานด้วยอัตรานึง ซึ่งผมคาดว่าน่าจะราวๆ 10-25% ตามขนาดเครื่องยนต์
และบวกกับปัจจัยต่างๆในการทำธุรกิจของบริษัทรถยนต์และโชว์รูมต่างๆ
จนกลายมาเป็นราคาขายที่เห็นๆกัน
ซึ่งส่วนลดภาษีไม่เกิน 100,000บาทนี้ มาจากการคืนเงินภาษีที่ประชาชนต้องจ่ายให้กับรัฐบาลครับ
นั่นคือตอนเราซื้อเราซื้อราคาเต็ม สมมติ 700,000บาท จัดไฟแนนซ์ หรือซื้อสดก็ตาม
ผ่านไปหนึ่งปี เราขอเงินสดคืนได้จากกรมสรรพสามิต 100,000 บาท
ซึ่งเราก็ยังจ่ายรถราคาเต็มที่ 700,000 ต่อไปจนจบกับไฟแนนซ์เป็นต้น
ถ้าหากผิดสัญญาตามเงื่อนไขโครงการ ก็ต้องโอนเงิน 100,000 บาท
พร้อมดอกเบี้ยคืนกลับไปให้รัฐบาล อันนี้รวมถึงขายรถต่อให้กับเต้นท์รถนะครับ

นั่นหมายความงบประมาณสูงสุดที่จะใช้ในโครงการนี้ที่พูดๆกันในข่าวเนี่ย
สมมติว่าคือ 500,000ล้านบาท มันเป็นเงินที่ไม่มีตัวตนครับ
มันคือเงินที่ประเทศชาติเสียโอกาสที่จะได้มาเฉยๆ
เงินที่คืนกลับให้กับประชาชนก็คือเงินที่ประชาชนจะต้องเสียนั่นเอง
ที่บอกว่า เอาเงินงบประมาณ 500,000ล้านบาทไปสร้างเครือข่ายรถไฟฟ้าในกรุงเทพสิ
เกิดประโยชน์ตั้งเยอะ ก็อยากให้พิจารณาตามหลักความจริงนะครับ
รัฐบาลไม่ได้มีเงินก้อนนี้ในมือเลย เงินก้อนนี้มันแค่ไม่ได้ไปถึงรัฐบาลอย่างที่ควรจะเป็น

แล้วถ้าหากไม่ได้มีโครงการนี้ละครับ ? ยอดขายที่บริษัทรถบอกกันนักหนาว่าเติบโต 80%
เมื่อเทียบกับปีก่อน ผมก็คิดว่ายอดของมันต้องเท่าเดิมแน่ๆ
ลองดูจากตัวเลขสมมติว่าพี่โตต้าเราขายวีออสได้ 50,000 คัน
รัฐบาลเสียโอกาสที่จะได้ภาษีไป 5,000ล้านบาท แล้วถ้าเกิดไม่ได้มีโครงการนี้ละ
ระดับ Demand จะลดลงอย่างมากไงครับ อาจจะซื้อขายกันแค่ 10,000 คันเท่านั้น
รัฐบาลเสียโอกาสที่จะได้ภาษีในเวลาปกติไป 1,000ล้านบาท จากตัวเลขที่ดูง่ายๆ
แบบนี้ก็ยอมรับนะครับว่ารัฐบาลเสียโอกาสที่จะเอาเงินภาษีมาใช้ประโยชน์
แต่ผมถามเถอะ จาก 500,000ล้านบาทนั้น ถ้าหากมันถูกเก็บภาษีจริงๆ
มันจะได้ถึง 100,000ล้านบาทมั้ย แล้วมันจะได้รถไฟยาวสักกี่กิโลเมตรกันครับ ?
ในตรงนี้ก็ยังมีภาษีที่รัฐบาลยังได้จากการซื้อขายรถยนต์ขนาดมากกว่า 1500cc
อยู่นะครับซึ่งอย่างที่บอกรถยิ่งใหญ่ภาษียิ่งเยอะและก็ไม่ได้มีจำนวนน้อยๆ ด้วย

ก็ขอสรุปว่า โปรดเข้าใจว่าเงินภาษีที่ทุกคนวาดฝันว่ามันควรจะกลายไปเป็นรถไฟฟ้าเนี่ยนะ
มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ซะหน่อย
มุมมองก่อนสุดท้าย ใครได้ประโยชน์บ้างเนี่ย ?
พูดอย่างเป็นกลางนะครับ น้อยนิดครับ คนที่ได้ประโยชน์นั้นผมขอสรุปว่าจะเข้าข่ายดังนี้
ต้องการรถยนต์ใช้งานอยู่แล้ว, ต้องการใช้ในการทำงานเช่นขนของ,
ต้องการเปลี่ยนรถที่เก่าอยู่แล้วด้วยชื่อคนอื่นเช่นญาติพี่น้อง
และสุดท้ายครับตัวเอกของเรื่องนั่นคือพรรคการเมืองที่เสนอนโยบายนี้จนครองใจประชาชน(รึเปล่า?)
นักการเมืองเอานโยบายนี้มาหาเสียง เรียกเสียงเข้าสู่ตนเองด้วยความเป็นประชานิยมสุดๆ
ลดแลกแจกแถม เขาก็ได้ประโยชน์ไปแล้วนิครับ ลองไม่มีนโยบายนี้หรือใกล้เคียงๆก็คงเสียงในรัฐสภา
จะน้อยลงไปบ้างแหละ ในแง่ของบริษัทน้ำมันผมไม่มองว่าเป็นประโยชน์นะมันเป็น
กลไกเศษรฐศาสตร์มากกว่า ถ้าคุณไม่พอใจปิโตเลียมไทยลองมองไปที่เชลล์ก็ได้
ถ้าไม่พอใจเลยคุณก็แค่ขายรถทิ้งแค่นั้น
ใครเสียประโยชน์บ้างละ ?
เนื่องมาจากว่ารถติดกันก็มีส่วนมาจากรถเพิ่มขึ้นครับ แต่ไม่ใช่ว่าเป็นต้นเหตุใหญ่ของปัญหานี้นะ
เพราะงั้นคนเสียประโยชน์คือทุกๆ คนที่ต้องทนกับรถติดครับ
โลกครับ เราเผาผลาญทรัพยากรในโลกนี้มากขึ้นๆ เชื่อเพลิงทุกชนิดใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไป
แต่ต่อให้ไม่มีนโยบายนี้มันก็ร้ายแรงพอกัน แล้วสุดท้ายก็มาที่ตัวเอกของเรื่องครับ
คนที่เสียประโยชน์ที่สุดในสายตาผมคือคนที่ไม่มีปัญญาผ่อนรถที่ซื้อมาเพราะคิดว่าจะผ่อนได้ครับ
ไหนจะไม่รู้จักคิด หน้ามืดตามัว ยังไปพาลทำให้เครดิตตัวเองเสียอีกน่ะนะ ไม่ไหวจริงๆ
มุมมองสุดท้ายครับ รถมันติดจากอะไรกันเนี่ย ???
ข้อนี้ผมขอยกเหตุการณ์เปรียบเทียบเล็กๆ แล้วก็ขอบอกก่อนว่าอาจจะดูเหยียดๆ กันหน่อยนะ
เมื่อหนึ่งปีที่แล้วผมเดินทางไปฝึกงานที่สีลมจากลาดพร้าวด้วยการขึ้นรถเมล์ และลงใต้ดินไป
ปีนี้ผมทำงานเดินทางจากลาดพร้าวไปหลายที่ทั้งสีลม วิภาวดี แล้วผมก็สังเกตเห็นสิ่งที่แตกต่างกันนั้นคือ
คนเยอะขึ้นมากกกกครับ รถไฟใต้ดินนี่แบบว่าทุกวันนี้แออัดกว่าปีที่แล้วมากๆ
รถเมล์ก็แทบจะขึ้นกันไม่ได้เลยทีเดียวช่วงสายเข้าเมืองก่อนถึงสถานีใต้ดินลาดพร้าว
คนมาจากนักศึกษาที่กลายสถานะมาเป็นพนักงานในแต่ละปีมีจำนวนสูงขึ้น
ผมเลยสงสัยว่าที่จริงแล้ว รถมันเยอะขึ้นอย่างเดียวหรือว่าคนมันเยอะขึ้นด้วย ?
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำหรับรถติดครับ ประเด็นรถติดคือว่า คนเราชอบความสบายครับ
ถ้าหากมีรถใหม่จอดอยู่ในสนามหลวง 100,000 คันแล้วบอกว่าทุกคันฟรี
ให้ไปจับจองได้เลยคนละคันเท่านั้น ทุกคนก็จะกรูกันไปจับจองแม้แต่พวกที่บอกว่า
เอาเงินภาษีมาพัฒนาประเทศดีกว่า เพราะคนเรารักสบายไงครับ ชอบของที่เราคิดว่าคุ้ม
ยังไงก็รู้สึกว่าการมีรถยนต์มันสบายมากว่า ไม่ต้องทนอยู่บนรถโดยสารประจำทางที่แออัดเหลือเกิน
เสียทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพกาย ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
เป็นหนึ่งในประเทศที่ปล่อยคาร์บอนสูงที่สุดในโลก ปัจจัยหนึ่งมาจากการที่ประชาชนเกือบ
ทุกคนมีรถส่วนตัว ครอบครัวนึงมีกันสามคนพ่อแม่ลูกก็จะมีรถสามคัน เพราะความเป็นส่วนตัว
ความสะดวก คล่องตัวทำให้เป็นสาเหตุของการซื้อรถมาใช้งาน และประเทศนี้ก็ไม่มีนโยบาย
จัดการจำกัดอะไรเลยเพราะถือว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล เหมือนเรื่องซื้อปืนนั่นละครับ
นั่นก็ไม่น่าจะใช่ประเด็นอีก ผมหาประเด็นไม่เจอละ มาลองดูเรื่องนี้ สังเกตกันมั้ยครับ
รถแท็กซี่เยอะขึ้น รถเมล์ขับรถไม่มีมารยาท รถตู้ขับรถหวาดเสียว
คนมักง่ายจอดในที่ขับขันปัจจัยเหล่านี้แหละครับ ทำให้รถติด เอาเฉพาะรถเมลระยำๆ
บางคันออกขวาสุดแล้วปาดเข้ามาเลนซ้ายทั้งที่ท้ายของมันอยู่เลนกลาง รถมันจะไม่ติดได้ไง
ขับแบบนี้ก็มีอุบัติเหตุไม่น้อยเลยทำให้รถติดกันไปใหญ่ ลำพังรถยนต์อย่างเดียวถ้าทุกคนมีวินัย
เห็นใจกันบ้างไม่คิดว่าจักรวาลต้องหมุนรอบตัวเองด้วยการไปให้ถึงจุดหมายเร็วที่สุด
ก็จะทำให้ระบบการขนส่งบนท้องถนนมันเป็นไปได้ด้วยดี ไม่ต้องมาชะงักเพราะนิสัยการขับรถแย่ๆ
อย่างเรื่องซ้อมสวนสนามแถวราบ 11 รถติดจากบางเขนถึงพหลโยธิน
มีคนใน Twitter โจมตีเรื่องนโยบายรถคันแรกนะครับ แต่ปรากฏว่าเป็นเพราะผู้ปกครองของ
นักศึกษารักษาดินแดนจอดรถริมทางเพื่อรอรับบุตร จำนวนเกือบหมื่นคนนะครับ
การจอดรถแบบนี้จะไม่ทำให้รถติดกันได้ไง
ผมคิดว่า ถ้าหากรัฐบาลหรืออะไรก็ตามทีที่มีอำนาจสามารถสร้างเครือข่ายรถไฟฟ้าได้ครอบคลุมกรุงเทพ
เมื่อการขนส่งมีประสิทธิภาพดีแล้ว คนก็จะมีความจำเป็นใช้แท็กซี่น้อยลง แท็กซี่ลดลง
ทำตัวดีขึ้น (ประเด็นนี้กำลังร้อนๆเลย) ทำนองเดียวกันกับรถเมล์และรถตู้
อาจจะทำให้พวกสันดานเสียๆ ตายไปได้ ก็จะทำให้ถนนน่าอยู่ขึ้น
รถยนต์หรืออะไรก็ตามทีมีปริมาณที่เหมาะสม แน่นอนถ้าน้ำมันมันแพงจนใช้เครือข่ายรถไฟฟ้าดีกว่า
ใครจะอยากใช้รถยนต์ในวันปกติที่ไปทำงาน อย่างมากก็ไปเที่ยวสุดสัปดาห์หรือศุกร์หรรษา
ขอบ่นเรื่องแท็กซี่เป็นประเด็นสุดท้ายเลยนะครับ
วันนี้เป็นวันศุกร์สิ้นเดือนผมยืนรอโบกแท็กซี่อยู่หน้า CTW เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงแท็กซี่ขับผ่าน
ไปหลายสิบคัน หลายคันขับผ่านเลยไปไปวนเข้าห้าง CTW ทางฝั่งถนนราชประสงค์
เข้าใจว่าวนออก CTW ฝั่งพระรามหนึ่ง วนหาลูกค้าที่เหมาะสมว่างั้นเหอะ
(ลูกค้าเมาๆ ลูกค้าฝรั่งหลอกง่ายไรงี้) แล้วแบบนี้จะไม่ให้เราอยากมีรถส่วนตัวขับกันได้อย่างไร
แท็กซี่ทำตัวท้าทายกฏหมายใหม่แบบนี้ น่าจะสั่งห้ามแท็กซี่ออกมาหาผู้โดยสารให้หมด
ให้ผ่านศูนย์เท่านั้น ช่วยให้อะไรเป็นระเบียบมากขึ้น
แท็กซี่ก็ไม่ต้องมาวนไปวนมาเผาผลาญแก็สไปวันๆด้วย
ปล. นโยบายประชานิยมอันอื่นของรัฐบาลนี่ ไร้สาระเกือบหมดเลยครับ
ปล2. แลกเปลี่ยนทัศนคติได้นะครับ ผมก็คิดในมุมของผม ผมยอมรับว่านโยบายดูจะไม่เข้าท่า
แค่อยากให้หลายๆคนเข้าใจกับรายละเอียดหน่อย
 http://freaking.exteen.com/20120901/entry

นโยบาย รถคันแรก รายละเอียดเงื่อนไขการคืนเงินภาษี ในการซื้อรถยนต์คันแรก

นโยบาย รถคันแรก รายละเอียดเงื่อนไขการคืนเงินภาษี ในการซื้อรถยนต์คันแรก

ตามที่รัฐบาล 2554 ชุดนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มีนโยบายรถคันแรก

โดยจะเป็นการคืนเงินภาษีเท่ากับที่จ่ายจริง ในการซื้อรถยนต์คันแรก แต่จะคืนได้ไม่เกิน 100,000 บาท

สำหรับรายละเอียด ข้อกำหนด เงื่อนไขต่างๆ ในการคืนภาษีรถยนต์คันแรก มีดังนี้
  • ผู้ซื้อต้องอายุ 21 ปีขึ้นไป
  • ผู้ซื้อจะต้องไม่เคยซื้อรถยนต์มาก่อน
  • ระยะเวลา จะต้องซื้อตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 ถึง 31 ธันวาคม 2555
  • โดย ราคารถยนต์นั้นจะต้องไม่เกิน 1,000,000 บาท
  • เครื่องยนต์ไม่เกิน 1,500 ซีซี (สำหรับรถกระบะจะไม่จำกัด ซีซี)
  • เป็นรถยนต์ที่ผลิตในประเทศไทยเท่านั้น
  • ต้องครอบครองไม่น้อยกว่า 5 ปี
  • เป็นรถใหม่(ป้ายแดง,มือสองไม่ได้)
การคืนเงินภาษีรถคันแรก ภาครัฐจะคืนภาษีได้เมื่อครอบครองรถยนต์ไปแล้วเป็นเวลา 1 ปี


UPDATE : 13 กันยายน 2554

  • ครม. มีมติเห็นชอบมาตรการคืนภาษีรถยนต์คันแรกแล้ว!
  • เลื่อนระยะเวลาเป็น เริ่มวันที่ 16 กันยายน 2554 - 31 ธันวาคม 2555

วิธีดำเนินการ
1. ผู้ซื้อรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2554 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ต้องยื่นคำขอคืนเงินกับกรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ พร้อมเอกสารหลักฐาน ประกอบด้วย
  • หนังสือยินยอมสละสิทธิ์การโอนภายใน 5 ปี
  • สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้ซื้อ
  • สำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ (ในกรณีเช่าซื้อ)

2. กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่มีหนังสือถึงกรมการขนส่งทางบกหรือ สำนักงานขนส่งจังหวัด เพื่อขอตรวจสอบการครอบครองรถยนต์คันแรก และแจ้งการสละสิทธิ์การโอนภายใน 5 ปีของผู้ซื้อ

3. กรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งจังหวัดตรวจสอบและบันทึก “ห้ามโอนภายใน 5 ปี” ลงในคอมพิวเตอร์และในสมุดคู่มือการจดทะเบียน

4. กรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งจังหวัดส่งหนังสือรับรองการครอบครอง รถยนต์คันแรก และสำเนาคู่มือการจดทะเบียนที่บันทึก “ห้ามโอนภายใน 5 ปี” ให้กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่

5. กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างๆ และสั่งจ่ายเช็คให้แก่ผู้ซื้อเมื่อครอบครองครบ 1 ปี โดยจ่ายเป็นเช็คให้ในครั้งเดียว


UPDATE : 17 กันยายน 2554

ปลดล็อคเงื่อนไข ห้ามโอนภายใน 5 ปี กรณีผู้ซื้อรถ(ผ่อน)ผิดนัดไม่สามารถผ่อนชำระต่อได้ ไฟแนนซ์ก็สามารถยื่นเรื่องให้กรมสรรพสามิตตรวจสอบ ว่าเป็นจริง เป็นเหตุสุดวิสัยหรือไม่ ถ้าพิสูจน์ได้ว่าผู้ซื้อรถผิดนัดไม่ผ่อนชำระต่อจริง ก็จะแก้เงื่อนไขกรณีห้ามโอนภายใน 5 ปี ให้สามารถนำรถไปขายทอดตลาดได้
และจะเรียกเงินภาษีจากผู้ที่ซื้อรถไปแล้วแต่ไม่สามารถผ่อนต่อได้ คืนกลับให้กรมสรรพสามิตเท่ากับจำนวนที่ได้รับไป (ผู้ซื้อรถไปแล้วแต่ไม่สามารถผ่อนต่อได้ จะต้องคืนเงินให้กรมสรรพสามิตเท่ากับจำนวนเงินที่ได้รับการคืนภาษีรถยนต์คัน แรก)

twitter

ห้องแชทKonthaiuk