PEACE TV LIVE

วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

นโยบายลดภาษีรถคันแรก ทำให้รถติดจริงๆ เหรอ

นโยบายลดภาษีรถคันแรก ทำให้รถติดจริงๆ เหรอ
(ยาวมากขอบอกไว้เขียนแล้วติดลม)
จั่วหัวแบบนี้ค่อนข้างขัดกับความคิดของคนในกรุงเทพมหานครเล็กน้อยนะครับ
(น่าจะเยอะแหละ ฮาาา)เราจะมาพูดถึงนโยบายนี้โดยตามความคิดของผมนะครับ
โดยเราจะมองหลายๆมุม แยกเป็นประเด็นต่างๆ
ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่าผมอยู่ในกรุงเทพตั้งแต่เกิดนะครับไม่เคยใช้ีชีวิตต่างจังหวัด
ตอนนี้ก็กำลังรอรถวีออสด้วยนโยบายรถคันแรกอยู่ ซึ่งตอนนี้ผมเองมีรายได้
พอที่จะผ่อนแบบสบายๆแล้วครับและตัวผมเองไม่ได้มีอคติ หรือชื่นชอบรัฐบาลแต่อย่างใดครับ
เราจะมาวิเคราะห์ที่ตัวนโยบายเท่านั้น
ผมแค่ต้องการชี้จุดสำคัญๆ ที่คนเราหลายๆคน อย่างในทวิตเตอร์หรือเพื่อนผมที่เข้าใจผิดพลาดไปนะครับ

ด้านแรกที่อยากจะให้มองคือ รถจากโครงการนี้ ในตอนนี้มันมีผลต่อรถติดจริงๆ รึยัง ?
ตัวเลขที่ประเมินคร่าวๆ สูงสุดที่โครงการนี้รองรับคือ 500,000 คันครับ
ปัจจุบันนี้มียอดจองอยู่ที่ 400,000 คัน และรถที่จดทะเบียนกับกรมสรรพสามิตมีราวๆ 100,000 คัน
รถที่จดทะเบียนกับกรมสรรพสามิตนั้นคือ รถที่ได้ทะเบียนป้ายขาวแล้ว
แต่ต้องการใช้สิทธิลดภาษีนั่นเอง มีเพียงแค่ 100,000 คันจากทั้งหมด
และก็ทราบจากการประเมินนั้นได้ว่า มากกว่าครึ่งเป็นรถที่อยู่ในต่างจังหวัด
(รวมถึงรถที่ยังอยู่ในยอดจอง) มีรถเป็นกระบะเกือบครึ่งนึงเลยทีเดียว
ในจุดนี้มีผลให้รถติดขนาดที่เราเห็นๆ กันอยู่เหรอครับ ? จริงๆ แล้วมันยังมีรถที่อยู่นอกโครงการอีกนะ
โดยที่คนส่วนใหญ่ที่โจมตีนโยบายนี้จะไม่ได้คิดถึงรถกระบะที่เขาใช้ทำงานกันครับ
จะมุ่งคิดไปถึงรถคอมแพคขนาดเล็กเช่นวีออสเป็นต้น
แล้วไหนจะรถขนาดเครื่องยนต์มากกว่า 1500cc อีก ถ้าุคุณลองมองรถป้ายแดง
ที่ออกมาหรือลองมองทะเบียนขาวหมวด ฆ (หมวดที่เริ่มช่วงเดือนมีนาคม หรือ ญ กับ ฏ
จะเป็นหมวดก่อนหน้านั้นนิดหน่อยแต่น่าจะอยู่ในช่วงของโครงการเช่นกัน)
จะเห็นว่ามีรถรุ่นใหญ่ไม่น้อยเลยทีเดียวเช่นแคมรี่, เทียน่า, ซีวิค, อัลติส
เพราะงั้นขอสรุปย่อยตรงนี้ว่า รถที่เพิ่มมากขึ้นในท้องถนนนั้น มีปริมาณรถที่มาจากโครงการนี้
และมาจากนอกโครงการอีกไม่น้อยเลย แล้วถ้าจะให้เห็นผลว่าติดรึยัง รอกลางปีหน้าครับตอนรถส่งมอบกันครบแล้ว ฮ่าๆ

ทีนี้มาดูมุมมองด้านที่ว่า โครงการนี้เร่งให้คนซื้อรถเร็วขึ้น เร่งให้คนไม่จำเป็นต้องมีรถก็ซื้อกันบ้าง
ผมขอบอกเลยเป็นทั้งคำพูดที่กล่าวหาโครงการนี้ทั้งจริงและไม่จริง...
ในแง่ความจริงคือ คนเรานะครับ อยู่ดีๆ เห็นของราคาถูก เราก็คิดว่าคุ้มหน่ะ
ซื้อๆ เก็บไว้อย่างกับของลดราคาในห้างซื้อ 1 แถม 1 ก็ซื้อๆไปก่อน ไม่ใช้ค่อยทิ้ง
ลักษณะนี้ก็เหมือนกัน คนที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้รถก็ไปซื้อ เพราะคิดว่ามันถูก
เดี๋ยวก็ใช้ หรือบางคนไม่พร้อมจริงๆ ก็ยังจะอยากได้อาจจะไปกู้เงินมาดาวน์
ผ่อนไม่ไหวก็ต้องยอมให้รถถูกยึดไป เอาตามความจริงผมเห็นรถวีออสกระจังหน้าสีเทา
ซึ่งเป็นโฉมใหม่ของกลางปีนี้ อยู่ในเต้นซะแล้ว ผมไม่คิดว่าซื้อมาแล้วก็ไม่ชอบเลยเอาไปขายนะครับ
คิดว่าคนๆนั้นไม่พร้อมที่จะซื้อรถมากกว่า แต่ขอซื้อไว้ก่อน กลายเป็นว่าโครงการนี้สนับสนุนให้คนมีหนี้มากขึ้น
ทีนี้มาลองมองในมุมที่กลับกันบ้าง อย่างในกรณีนี้ผมเชื่อว่ามีหลายต่อหลายคนแน่ๆ
ที่ตัดสินใจว่ากำลังจะซื้อรถมีกำลังทรัพย์เพียงพอที่จะซื้อหรือกำลังดูๆรถและพร้อมจะซื้อจริงๆ
เมื่อ มีโครงการนี้มาก็กลายเป็นว่า แจ็กพอตสิครับ ลดไปทั้ง 100,000 บาท คนๆนั้นถือได้ว่าเป็นผู้ได้ประโยชน์เต็มๆของโครงการนี้เลย ซึ่งเขาจะซื้อหรือไม่ซื้อก็จะอยู่ในเรื่องของกลไกตลาดต่อไปว่ารุ่นรถ
ดีไซน์ของรถมันดีเพียงพอไหมอีกเรื่องนึง
ซึ่งผมเองก็ตกอยู่ในกลุ่มนี้พอดีเพราะผมเล็งๆ จะซื้อมาใช้ขับไปทำงานและใช้ส่วนตัวอยู่นานแล้ว
เมื่อโครงการนี้มาก็ถือได้ว่าประหยัดไปหนึ่งแสนจากราคาเต็ม
หรือเพิ่มเงินนิดหน่อยจากการซื้อรถคันแรกที่เป็นรถมือสอง
หรือหากมองในมุมมองของผู้ที่ได้รับประโยชน์เต็มๆ อีกกลุ่มนึงที่ไม่ใช่คนในกรุงเทพครับ
คนต่างจังหวัดที่เขาไม่มีเครือข่ายรถเมล์อย่างในกรุงเทพ เขาต้องพึ่งรถยนต์
รถมอเตอรไซค์ นอกจากนี้ยังใช้รถกระบะจากโครงการนี้เข้ามาช่วยเริ่มต้นอาชีพได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
(แอบคิดว่าไม่จำเป็นต้องไปช่วยรถมือหนึ่งเนาะ อาจจะเป็นรถกระบะรุ่นเก่าก็ได้)
ตรงนี้ผมขอสรุปง่ายๆ นะครับคนที่ซื้อเพราะคิดว่าเป็นโอกาสทองเมื่อไม่พร้อมที่จะใช้
ไม่พร้อมจะจ่ายค่างวดหรือค่าน้ำมัน ก็ต้องขายหรือไม่ก็จอดแอ้งแม้งอยู่ที่บ้าน แต่กับคนที่พร้อม
ไม่ว่าจะซื้อตอนนี้หรือตอนไหนมันก็จะซื้อครับ
ซื้อมาเพิ่มรถบนถนนอย่างที่ทุกคนเห็น ไม่มีโครงการนี้ผมก็ซื้อ!
ด้านต่อไปเป็นด้านที่คนพูดถึงมาก ทำไมต้องผลาญเงินภาษีประชาชนไปอุดหนุนโครงการนี้ด้วย ?
ข้อนี้เป็นอะไรที่ตลกมากๆๆๆ ครับถ้าคุณลองทำความเข้าใจกับกระบวนการนี้คุณจะมองเห็นว่ามันตลกจริงๆ
รถยนต์โดยทั่วไปเมื่อออกจากโรงงานจะมีราคาตั้งต้นอยู่นะครับ
รัฐบาลจะจัดเก็บภาษีออกจากโรงงานด้วยอัตรานึง ซึ่งผมคาดว่าน่าจะราวๆ 10-25% ตามขนาดเครื่องยนต์
และบวกกับปัจจัยต่างๆในการทำธุรกิจของบริษัทรถยนต์และโชว์รูมต่างๆ
จนกลายมาเป็นราคาขายที่เห็นๆกัน
ซึ่งส่วนลดภาษีไม่เกิน 100,000บาทนี้ มาจากการคืนเงินภาษีที่ประชาชนต้องจ่ายให้กับรัฐบาลครับ
นั่นคือตอนเราซื้อเราซื้อราคาเต็ม สมมติ 700,000บาท จัดไฟแนนซ์ หรือซื้อสดก็ตาม
ผ่านไปหนึ่งปี เราขอเงินสดคืนได้จากกรมสรรพสามิต 100,000 บาท
ซึ่งเราก็ยังจ่ายรถราคาเต็มที่ 700,000 ต่อไปจนจบกับไฟแนนซ์เป็นต้น
ถ้าหากผิดสัญญาตามเงื่อนไขโครงการ ก็ต้องโอนเงิน 100,000 บาท
พร้อมดอกเบี้ยคืนกลับไปให้รัฐบาล อันนี้รวมถึงขายรถต่อให้กับเต้นท์รถนะครับ

นั่นหมายความงบประมาณสูงสุดที่จะใช้ในโครงการนี้ที่พูดๆกันในข่าวเนี่ย
สมมติว่าคือ 500,000ล้านบาท มันเป็นเงินที่ไม่มีตัวตนครับ
มันคือเงินที่ประเทศชาติเสียโอกาสที่จะได้มาเฉยๆ
เงินที่คืนกลับให้กับประชาชนก็คือเงินที่ประชาชนจะต้องเสียนั่นเอง
ที่บอกว่า เอาเงินงบประมาณ 500,000ล้านบาทไปสร้างเครือข่ายรถไฟฟ้าในกรุงเทพสิ
เกิดประโยชน์ตั้งเยอะ ก็อยากให้พิจารณาตามหลักความจริงนะครับ
รัฐบาลไม่ได้มีเงินก้อนนี้ในมือเลย เงินก้อนนี้มันแค่ไม่ได้ไปถึงรัฐบาลอย่างที่ควรจะเป็น

แล้วถ้าหากไม่ได้มีโครงการนี้ละครับ ? ยอดขายที่บริษัทรถบอกกันนักหนาว่าเติบโต 80%
เมื่อเทียบกับปีก่อน ผมก็คิดว่ายอดของมันต้องเท่าเดิมแน่ๆ
ลองดูจากตัวเลขสมมติว่าพี่โตต้าเราขายวีออสได้ 50,000 คัน
รัฐบาลเสียโอกาสที่จะได้ภาษีไป 5,000ล้านบาท แล้วถ้าเกิดไม่ได้มีโครงการนี้ละ
ระดับ Demand จะลดลงอย่างมากไงครับ อาจจะซื้อขายกันแค่ 10,000 คันเท่านั้น
รัฐบาลเสียโอกาสที่จะได้ภาษีในเวลาปกติไป 1,000ล้านบาท จากตัวเลขที่ดูง่ายๆ
แบบนี้ก็ยอมรับนะครับว่ารัฐบาลเสียโอกาสที่จะเอาเงินภาษีมาใช้ประโยชน์
แต่ผมถามเถอะ จาก 500,000ล้านบาทนั้น ถ้าหากมันถูกเก็บภาษีจริงๆ
มันจะได้ถึง 100,000ล้านบาทมั้ย แล้วมันจะได้รถไฟยาวสักกี่กิโลเมตรกันครับ ?
ในตรงนี้ก็ยังมีภาษีที่รัฐบาลยังได้จากการซื้อขายรถยนต์ขนาดมากกว่า 1500cc
อยู่นะครับซึ่งอย่างที่บอกรถยิ่งใหญ่ภาษียิ่งเยอะและก็ไม่ได้มีจำนวนน้อยๆ ด้วย

ก็ขอสรุปว่า โปรดเข้าใจว่าเงินภาษีที่ทุกคนวาดฝันว่ามันควรจะกลายไปเป็นรถไฟฟ้าเนี่ยนะ
มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ซะหน่อย
มุมมองก่อนสุดท้าย ใครได้ประโยชน์บ้างเนี่ย ?
พูดอย่างเป็นกลางนะครับ น้อยนิดครับ คนที่ได้ประโยชน์นั้นผมขอสรุปว่าจะเข้าข่ายดังนี้
ต้องการรถยนต์ใช้งานอยู่แล้ว, ต้องการใช้ในการทำงานเช่นขนของ,
ต้องการเปลี่ยนรถที่เก่าอยู่แล้วด้วยชื่อคนอื่นเช่นญาติพี่น้อง
และสุดท้ายครับตัวเอกของเรื่องนั่นคือพรรคการเมืองที่เสนอนโยบายนี้จนครองใจประชาชน(รึเปล่า?)
นักการเมืองเอานโยบายนี้มาหาเสียง เรียกเสียงเข้าสู่ตนเองด้วยความเป็นประชานิยมสุดๆ
ลดแลกแจกแถม เขาก็ได้ประโยชน์ไปแล้วนิครับ ลองไม่มีนโยบายนี้หรือใกล้เคียงๆก็คงเสียงในรัฐสภา
จะน้อยลงไปบ้างแหละ ในแง่ของบริษัทน้ำมันผมไม่มองว่าเป็นประโยชน์นะมันเป็น
กลไกเศษรฐศาสตร์มากกว่า ถ้าคุณไม่พอใจปิโตเลียมไทยลองมองไปที่เชลล์ก็ได้
ถ้าไม่พอใจเลยคุณก็แค่ขายรถทิ้งแค่นั้น
ใครเสียประโยชน์บ้างละ ?
เนื่องมาจากว่ารถติดกันก็มีส่วนมาจากรถเพิ่มขึ้นครับ แต่ไม่ใช่ว่าเป็นต้นเหตุใหญ่ของปัญหานี้นะ
เพราะงั้นคนเสียประโยชน์คือทุกๆ คนที่ต้องทนกับรถติดครับ
โลกครับ เราเผาผลาญทรัพยากรในโลกนี้มากขึ้นๆ เชื่อเพลิงทุกชนิดใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไป
แต่ต่อให้ไม่มีนโยบายนี้มันก็ร้ายแรงพอกัน แล้วสุดท้ายก็มาที่ตัวเอกของเรื่องครับ
คนที่เสียประโยชน์ที่สุดในสายตาผมคือคนที่ไม่มีปัญญาผ่อนรถที่ซื้อมาเพราะคิดว่าจะผ่อนได้ครับ
ไหนจะไม่รู้จักคิด หน้ามืดตามัว ยังไปพาลทำให้เครดิตตัวเองเสียอีกน่ะนะ ไม่ไหวจริงๆ
มุมมองสุดท้ายครับ รถมันติดจากอะไรกันเนี่ย ???
ข้อนี้ผมขอยกเหตุการณ์เปรียบเทียบเล็กๆ แล้วก็ขอบอกก่อนว่าอาจจะดูเหยียดๆ กันหน่อยนะ
เมื่อหนึ่งปีที่แล้วผมเดินทางไปฝึกงานที่สีลมจากลาดพร้าวด้วยการขึ้นรถเมล์ และลงใต้ดินไป
ปีนี้ผมทำงานเดินทางจากลาดพร้าวไปหลายที่ทั้งสีลม วิภาวดี แล้วผมก็สังเกตเห็นสิ่งที่แตกต่างกันนั้นคือ
คนเยอะขึ้นมากกกกครับ รถไฟใต้ดินนี่แบบว่าทุกวันนี้แออัดกว่าปีที่แล้วมากๆ
รถเมล์ก็แทบจะขึ้นกันไม่ได้เลยทีเดียวช่วงสายเข้าเมืองก่อนถึงสถานีใต้ดินลาดพร้าว
คนมาจากนักศึกษาที่กลายสถานะมาเป็นพนักงานในแต่ละปีมีจำนวนสูงขึ้น
ผมเลยสงสัยว่าที่จริงแล้ว รถมันเยอะขึ้นอย่างเดียวหรือว่าคนมันเยอะขึ้นด้วย ?
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำหรับรถติดครับ ประเด็นรถติดคือว่า คนเราชอบความสบายครับ
ถ้าหากมีรถใหม่จอดอยู่ในสนามหลวง 100,000 คันแล้วบอกว่าทุกคันฟรี
ให้ไปจับจองได้เลยคนละคันเท่านั้น ทุกคนก็จะกรูกันไปจับจองแม้แต่พวกที่บอกว่า
เอาเงินภาษีมาพัฒนาประเทศดีกว่า เพราะคนเรารักสบายไงครับ ชอบของที่เราคิดว่าคุ้ม
ยังไงก็รู้สึกว่าการมีรถยนต์มันสบายมากว่า ไม่ต้องทนอยู่บนรถโดยสารประจำทางที่แออัดเหลือเกิน
เสียทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพกาย ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
เป็นหนึ่งในประเทศที่ปล่อยคาร์บอนสูงที่สุดในโลก ปัจจัยหนึ่งมาจากการที่ประชาชนเกือบ
ทุกคนมีรถส่วนตัว ครอบครัวนึงมีกันสามคนพ่อแม่ลูกก็จะมีรถสามคัน เพราะความเป็นส่วนตัว
ความสะดวก คล่องตัวทำให้เป็นสาเหตุของการซื้อรถมาใช้งาน และประเทศนี้ก็ไม่มีนโยบาย
จัดการจำกัดอะไรเลยเพราะถือว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล เหมือนเรื่องซื้อปืนนั่นละครับ
นั่นก็ไม่น่าจะใช่ประเด็นอีก ผมหาประเด็นไม่เจอละ มาลองดูเรื่องนี้ สังเกตกันมั้ยครับ
รถแท็กซี่เยอะขึ้น รถเมล์ขับรถไม่มีมารยาท รถตู้ขับรถหวาดเสียว
คนมักง่ายจอดในที่ขับขันปัจจัยเหล่านี้แหละครับ ทำให้รถติด เอาเฉพาะรถเมลระยำๆ
บางคันออกขวาสุดแล้วปาดเข้ามาเลนซ้ายทั้งที่ท้ายของมันอยู่เลนกลาง รถมันจะไม่ติดได้ไง
ขับแบบนี้ก็มีอุบัติเหตุไม่น้อยเลยทำให้รถติดกันไปใหญ่ ลำพังรถยนต์อย่างเดียวถ้าทุกคนมีวินัย
เห็นใจกันบ้างไม่คิดว่าจักรวาลต้องหมุนรอบตัวเองด้วยการไปให้ถึงจุดหมายเร็วที่สุด
ก็จะทำให้ระบบการขนส่งบนท้องถนนมันเป็นไปได้ด้วยดี ไม่ต้องมาชะงักเพราะนิสัยการขับรถแย่ๆ
อย่างเรื่องซ้อมสวนสนามแถวราบ 11 รถติดจากบางเขนถึงพหลโยธิน
มีคนใน Twitter โจมตีเรื่องนโยบายรถคันแรกนะครับ แต่ปรากฏว่าเป็นเพราะผู้ปกครองของ
นักศึกษารักษาดินแดนจอดรถริมทางเพื่อรอรับบุตร จำนวนเกือบหมื่นคนนะครับ
การจอดรถแบบนี้จะไม่ทำให้รถติดกันได้ไง
ผมคิดว่า ถ้าหากรัฐบาลหรืออะไรก็ตามทีที่มีอำนาจสามารถสร้างเครือข่ายรถไฟฟ้าได้ครอบคลุมกรุงเทพ
เมื่อการขนส่งมีประสิทธิภาพดีแล้ว คนก็จะมีความจำเป็นใช้แท็กซี่น้อยลง แท็กซี่ลดลง
ทำตัวดีขึ้น (ประเด็นนี้กำลังร้อนๆเลย) ทำนองเดียวกันกับรถเมล์และรถตู้
อาจจะทำให้พวกสันดานเสียๆ ตายไปได้ ก็จะทำให้ถนนน่าอยู่ขึ้น
รถยนต์หรืออะไรก็ตามทีมีปริมาณที่เหมาะสม แน่นอนถ้าน้ำมันมันแพงจนใช้เครือข่ายรถไฟฟ้าดีกว่า
ใครจะอยากใช้รถยนต์ในวันปกติที่ไปทำงาน อย่างมากก็ไปเที่ยวสุดสัปดาห์หรือศุกร์หรรษา
ขอบ่นเรื่องแท็กซี่เป็นประเด็นสุดท้ายเลยนะครับ
วันนี้เป็นวันศุกร์สิ้นเดือนผมยืนรอโบกแท็กซี่อยู่หน้า CTW เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงแท็กซี่ขับผ่าน
ไปหลายสิบคัน หลายคันขับผ่านเลยไปไปวนเข้าห้าง CTW ทางฝั่งถนนราชประสงค์
เข้าใจว่าวนออก CTW ฝั่งพระรามหนึ่ง วนหาลูกค้าที่เหมาะสมว่างั้นเหอะ
(ลูกค้าเมาๆ ลูกค้าฝรั่งหลอกง่ายไรงี้) แล้วแบบนี้จะไม่ให้เราอยากมีรถส่วนตัวขับกันได้อย่างไร
แท็กซี่ทำตัวท้าทายกฏหมายใหม่แบบนี้ น่าจะสั่งห้ามแท็กซี่ออกมาหาผู้โดยสารให้หมด
ให้ผ่านศูนย์เท่านั้น ช่วยให้อะไรเป็นระเบียบมากขึ้น
แท็กซี่ก็ไม่ต้องมาวนไปวนมาเผาผลาญแก็สไปวันๆด้วย
ปล. นโยบายประชานิยมอันอื่นของรัฐบาลนี่ ไร้สาระเกือบหมดเลยครับ
ปล2. แลกเปลี่ยนทัศนคติได้นะครับ ผมก็คิดในมุมของผม ผมยอมรับว่านโยบายดูจะไม่เข้าท่า
แค่อยากให้หลายๆคนเข้าใจกับรายละเอียดหน่อย
 http://freaking.exteen.com/20120901/entry

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

twitter

ห้องแชทKonthaiuk