สบน.ไขปมหนี้สาธารณะ ยันกู้2ล้านล้านไม่มีปัญหา
คอลัมน์ รายงานพิเศษ
ความเห็นที่แตกต่างกันเรื่องหนี้สาธารณะสร้างความสับสนให้คนที่ติดตามข่าวนี้ไม่น้อย
ฝ่าย
รัฐบาลยืนยันว่าแม้จะมีการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท และเงินกู้อื่นๆ
หนี้สาธารณะสูงสุดของไทยอยู่ที่ 49% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในปรเะเทศ (จีดีพี)
จากขณะนี้อยู่ในระดับ 44% ต่อจีดีพี ซึ่งไม่เกินกรอบวินัยการเงินการคลังที่
60% ต่อจีดีพี
ด้านฝ่ายที่คัดค้านมองแนวโน้มหนี้สาธารณะของไทย ช่วงปี 2555-2562 จะอยู่ในระดับ 60-80% ต่อจีดีพี
หนังสือ
พิมพ์ข่าวสดจึงสัมภาษณ์ น.ส. จุฬารัตน์ สุธีธร
ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.)
ซึ่งเป็นผู้ชี้แจงได้กระจ่างชัดที่สุด
ข้อเป็นห่วงการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท การกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท ประชานิยมของรัฐบาล ทำให้หนี้สาธารณะเกิน 60% ต่อจีดีพี
พยายาม
ติดตามข้อมูลว่าทำไมจึงแตกต่างกัน พบว่ามีการนำตัวเลขประชานิยม อาทิ
รถคันแรก มาบวกในหนี้สาธารณะ ซึ่งไม่เกี่ยวกับหนี้สาธารณะเลย
เพราะเงินที่คืนให้กับโครงการรถคันแรกเป็นเงินที่เก็บมาจาก ผู้ซื้อรถยนต์
ไม่ได้กู้เงินมาจ่าย
ส่วนโครงการรับจำนำข้าวนั้นกำหนดกรอบกู้เงิน
ไว้ไม่เกิน 4.1 แสนล้านบาท กู้ช่วง 2 ปีงบประมาณคือ 2555-2556
จะได้รับเงินคืนจากการขายข้าวบ้าง ไม่ใช่จะเสียหายทันที 4.1 แสนบาท
การนำทุกอย่างมารวมในหนี้ ตัวเลขจึงสูง
สวนทางกับนักวิชาการ และฝ่ายค้านที่มองว่าหนี้สาธารณะจะสูง 60-80%
ใน
การบริหารหนี้สาธารณะมีคณะกรรมการเกี่ยวข้องหลายคณะ
มีระเบียบข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตาม แม้ว่ากรอบจะกำหนดไว้ 60% ต่อจีดีพี
แต่รัฐบาลกำหนดแนวทางปฏิบัติต้องไม่เกิน 50% ต่อจีดีพี
เพื่อให้มีช่องว่างไว้สำหรับกู้เงินหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
คนที่
คิดตัวเลขจะนำอะไรมาบวกก็ได้ เพื่อให้ตัวเลขสูง แต่ในส่วนของสบน.เอง
ยืนยันว่าตัวเลขที่ไม่เกิน 50% ต่อจีดีพีนั้นรวมหนี้ทุกอย่างตามกฎหมายแล้ว
คือ หนี้รัฐบาล หนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
(เอฟไอดีเอฟ) หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน
หนี้สถาบันการเงินของรัฐ(แบงก์รัฐ) ที่รัฐบาลค้ำประกัน
หนี้หน่วยงานรัฐอื่นๆ
สบน.นำเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท
เงินกู้บริหารน้ำ 3.01 แสนล้านบาท
เงินกู้ประกันภัยพิบัติล่าสุดที่กู้ยังไม่ถึง 5 หมื่นล้านบาท มาคำนวณ
พบว่าหนี้สาธารณะสูงสุดคือในปี 2559-2560 อยู่ที่ 49% ต่อจีพีดี โดยในปี
2560 คาดว่าจีดีพีจะมีมูลค่า 16.2 ล้านล้านบาท คิดเป็นหนี้สาธารณะที่ระดับ 8
ล้านล้านบาท จากปัจจุบันที่อยู่ระดับ 5 ล้านล้านบาท
การก่อหนี้ของไทยอาจซ้ำรอยวิกฤตเศรษฐกิจในยุโรป และญี่ปุ่น
หนี้
ของไทยที่มีแผนก่อหนี้ใหม่ อาทิ 2 ล้านล้านบาท ถือเป็นหนี้ที่มีคุณภาพ
เพราะลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ที่มีผลตอบแทนในอนาคต
ทำให้ระบบเศรษฐกิจแข็งแกร่งขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเหล่า
นั้น ระดับหนี้สาธารณะของไทยยังต่ำกว่ามาก ของไทยอยู่ที่ 44% ต่อจีดีพี
เมื่อเทียบกับญี่ปุ่น หนี้สาธารณะอยู่ในระดับ 237% ต่อจีดีพี กรีซ 171%
สิงคโปร์ 106% อิตาลี 126% สหรัฐ 107% เวียดนาม 50% มาเลเซีย และลาว ที่
53% พม่า 44% เกาหลีใต้ 34% กัมพูชา 29% จีน 22%
กรอบหนี้สาธารณะที่กำหนดไว้ 60% ต่อจีดีพี จะแน่ใจได้อย่างไรว่าในอนาคต สบน.จะบริหารไม่ให้เกินระดับนี้
กรอบ
หนี้แม้ไม่ใช่กฎหมาย แต่มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) รองรับ
ที่ผ่านมาการกำหนดกรอบหนี้มีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ อาทิ
ช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง กำหนดกรอบหนี้ไว้สูงสุดถึง 65%
เพราะต้องไปกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
หนี้พุ่งสูงสุดที่ 61.71% ในปี 2543
หลังจากนั้นปรับหลายครั้งจนล่าสุดอยู่ที่ 60%
รัฐบาลมีนโยบายลดขาด
ดุลงบประมาณทุกปี มีเป้าหมายจัดทำงบสมดุลในปี 2559
ทำรายรับให้เท่ากับรายจ่าย การกู้มาชดเชยขาดดุลปีละ 2-4 แสนล้านบาท
จะลดลงเหลือเพียงกู้ตามโครงการที่ยังค้างอยู่คือ 2 ล้านล้านบาท
จึงมั่นใจว่าการบริหารหนี้สาธารณะเป็นไปตามแผนที่วางไว้
สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เหมาะสมของไทย
คง
ต้องขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อาทิ สถาน การณ์ทางเศรษฐกิจ
ความจำเป็นในการใช้เงิน
พร้อมทั้งต้องพิจารณาถึงตลาดตราสารหนี้ที่รองรับพันธบัตรและการกู้เงินจาก
รัฐบาล
ในอดีตช่วงปี 2539 อยู่ในระดับที่ต่ำมากเพียง 14.55%
ต่อจีดีพี แต่พอเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 ขึ้นมาอยู่ที่ 35.58%
ต่อจีดีพี และเคยขึ้นไปสูงสุดที่ 61.71% ต่อจีดีพี ในช่วงปี 2543
หลังจากนั้นเริ่มปรับลดลงมาอยู่ที่ 37.27% ต่อจีดีพี เมื่อปี 2551
จนล่าสุดในปี 2556 อยู่ในระดับ 44% ต่อจีดีพี
ระดับหนี้ผูกพันกับจี
ดีพี ขณะนี้มีมูลค่าที่ 12 ล้านล้านบาท
คาดการณ์ว่าจากนี้ไปจีดีพีโตเฉลี่ยอย่างน้อย 4.5% คาดว่าในปี 2663
จะมีระดับจีดีพีที่ 20.2 ล้านล้านบาท ถ้าดูแล้วหากจะก่อหนี้ในระดับ 50%
ต่อจีดีพี สามารถมีหนี้รวมต้องไม่เกิน 10.1 ล้านบาท
เทียบกับขณะนี้จีดีพีมูลค่า 12 ล้านล้านบาท มีระดับหนี้สาธารณะที่ 5
ล้านล้านบาท หรือ 44%
รายได้ที่จะนำเงินมาใช้หนี้มาจากส่วนไหนบ้าง
หลักๆ
คือจากภาษีต่างๆ การจัดเก็บภาษีจะเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจ
ส่วนที่เป็นแหล่งรายได้รอง อาทิ เงินนำส่งของรัฐวิสาหกิจ
รายได้จากทรัพย์สินที่กรมธนารักษ์ถืออยู่
ปีนี้รัฐบาลตั้งเป้าจัดเก็บที่ระดับ 2.1 ล้านล้านบาท
ซึ่งมีการจัดสรรเงินมาใช้หนี้เงินกู้ทั้งดอกเบี้ยและเงินต้น
เป็นไปตามการพิจารณาของสำนักงบประมาณ ส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับกว่า 10%
ของงบประมาณรายจ่าย
เงินที่ได้รับจัดสรรมาชำระหนี้ต้องไม่เกินจากกรอบความยั่งยืนทางการคลัง
กำหนดไว้ไม่เกิน 15% ของงบประมาณรายจ่าย
ไทยยังมีหนี้ประเภทอื่นๆ ที่ไม่นับรวมเป็นหนี้สาธารณะ (หนี้แฝง) เท่าไหร่
เท่า
ที่ดูมีจำนวนไม่มากนัก คือหนี้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีอยู่กว่า
7,000 แห่ง เท่าที่ดูเบื้องต้นในระดับหมื่นล้าน ส่วนหนี้อื่นๆ
เคยมีผู้โยงไว้คือ หนี้ของแบงก์รัฐ ที่กู้เอง
ซึ่งตามกฎหายไม่ถือว่าเป็นหนี้สาธารณะ แต่เชื่อว่าในระบบการดูแลแบงก์รัฐ
ที่มีทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)
ดูแลอยู่คงไม่เกิดปัญหาง่ายๆ หากมีปัญหาจริง กระทรวงการคลังต้องเพิ่มทุน
หรือควบรวมกับธนาคารอื่นๆ ซึ่งก็ไม่เกี่ยวกับหนี้สาธารณะ
เพียงแต่ถูกเชื่อมโยงว่าแบงก์รัฐ หากเกิดปัญหารัฐก็ต้องดูแล
การกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทฝ่ายค้านระบุว่าผิดกฎหมาย เพราะเป็นเงินนอกงบประมาณ
ที่ผ่านมามีการกู้เงินในลักษณะนี้หลายครั้ง และคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 12 (กฎหมายการคลัง) พิจารณาแล้วว่าทำได้
ภาระหนี้ 2 ล้านล้านบาท ที่กำหนดให้ใช้หนี้ใน 50 ปี เหมาะสมหรือไม่
การ
พิจารณาเรื่องใช้หนี้ 50 ปีนั้น
สบน.นำตัวอย่างมาจากญี่ปุ่นที่การกู้ส่วนใหญ่จะกำหนดระยะเวลาใช้หนี้ชัดเจน
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของไทย ที่กำหนดเวลาใช้หนี้อย่างชัดเจน
สำหรับ
ระยะเวลาในการใช้หนี้ สบน.คิดจากผลประโยชน์จากสิ่งปลูกสร้าง อาทิ รถไฟ
ท่าเรือ ถนน ที่ใช้ประโยชน์ต่อเนื่องสูงสุด 50 ปี ดังนั้นการใช้หนี้ 50
ปีจึงเหมาะสม ที่บอกกันว่าเป็นการสร้างหนี้ให้ลูกหลาน
สบน.มองว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมเช่นกัน
เพราะสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ทำให้เพื่อลูกหลานใช้ประโยชน์
ลูกหลานควรต้องใช้หนี้ที่เกิดขึ้น
หวังว่าคำอธิบายของผู้อำนวยการสบน. น่าจะสร้างความกระจ่างได้บ้างตามสมควร
หน้า 8
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObFkyOHlOVEUwTURRMU5nPT0%3D§ionid=TURNd05RPT0%3D&day=TWpBeE15MHdOQzB4TkE9PQ%3D%3D
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น